ID เนมสเปซ ระบุตัวบ่งชี้เฉพาะสำหรับเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตน ใช้ตัวบ่งชี้เนมสเปซเพื่อแยกความแตกต่างระหว่างหลายเนมสเปซ แต่ละเนมสเปซต้องมีตัวบ่งชี้เฉพาะ เมื่อคุณเลือกเนมสเปซเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตนในสภาวะแวดล้อมรันไทม์ ตัวบ่งชี้จะถูกใช้โดยคอมโพเนนต์ IBM Cognos การเปลี่ยน ID เนมสเปซหลังจากเซอร์วิสเริ่มทำงานแล้วอาจทำให้นโยบายการรักษาความปลอดภัยอ็อบเจ็กต์และความเป็นสมาชิกบทบาทและกลุ่ม Cognos ใช้ไม่ได้ ไม่สนับสนุนการใช้เครื่องหมายโคลอนใน ID เนมสเปซ ชื่อที่ใช้แยกความแตกต่างฐาน ระบุชื่อที่ใช้แยกความแตกต่างที่เป็นฐานของเซิร์ฟเวอร์ LDAP ผลิตภัณฑ์ใช้ DN ฐานเพื่อระบุระดับบนสุดของโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีของคุณ รายของโครงสร้างไดเร็กทอรีแบบลำดับชั้นเป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับการค้นหาทั้งหมด คุณจำกัดการค้นหาโดยการระบุ DN ฐาน การหมดเวลาในหน่วยวินาที ระบุจำนวนวินาทีที่อนุญาตให้ดำเนินการคำร้องขอการค้นหา ผลิตภัณฑ์ใช้ค่านี้เมื่อร้องขอการพิสูจน์ตัวตนจากเนมสเปซบนเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีของคุณ ค่าจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมการสร้างรายงานของคุณ ถ้าเกินช่วงเวลา การค้นหาจะหมดเวลา ค่าดีฟอลต์ที่เป็น -1 หมายความว่าจะใช้ค่าบนเซิร์ฟเวอร์ LDAP ฐานข้อมูลใบรับรอง SSL ระบุตำแหน่งของฐานข้อมูลใบรับรองที่ใช้โดยเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีสำหรับการเชื่อมต่อ SSL ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อชี้ไปยังตำแหน่งของฐานข้อมูลใบรับรอง SSL สำหรับเซิร์ฟเวอร์ LDAP ของคุณ โฮสต์และพอร์ต ระบุชื่อโฮสต์และพอร์ตของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้เพื่อระบุชื่อโฮสต์และพอร์ตสำหรับเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี: host:port ตัวอย่างเช่น localhost:389 ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ถ้าคุณใช้ชื่อแบบเต็มสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ DNS ของคุณถูกกำหนดให้แปลงชื่อ ไม่เช่นนั้น คุณยังสามารถใช้ IP แอดเดรส ขีดจำกัดของขนาด ระบุจำนวนสูงสุดของการตอบสนองที่อนุญาตสำหรับคำร้องขอการค้นหา ค่าจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของคุณ เนื่องจากเป็นกฎทั่วไป ค่าที่น้อยที่สุดสำหรับการตั้งค่านี้ควรมากกว่าจำนวนที่มากที่สุดของกลุ่มหรือผู้ใช้บวกด้วย 100 เมื่อถึงขีดจำกัดของขนาดเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีจะหยุดการค้นหา ค่าดีฟอลต์ที่เป็น -1 หมายความว่าจะใช้ค่าบนเซิร์ฟเวอร์ LDAP คุณสมบัติขั้นสูง ระบุชุดของคุณสมบัติขั้นสูง ผู้ใช้ต้องระบุชื่อและค่าสำหรับคุณสมบัติขั้นสูงแต่ละรายการ สามารถเลือกการพิสูจน์ตัวตนหรือไม่? ระบุว่าสามารถเลือกเนมสเปซสำหรับการพิสูจน์ตัวตนหรือไม่ ถ้าตั้งค่าคุณสมบัติเป็น true เนมสเปซจะพร้อมใช้งานสำหรับการพิสูจน์ตัวตนในพร้อมต์การเลือกเนมสเปซหน้าล็อกออน ตั้งค่านี้เป็น false ถ้าเนมสเปซควรพร้อมใช้งานสำหรับการเลือกบนหน้าล็อกออน ตัวบ่งชี้เฉพาะ ระบุค่าที่ใช้เพื่อระบุที่เก็บอ็อบเจ็กต์ในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP โดยเฉพาะ ระบุชื่อแอ็ตทริบิวต์หรือค่าของ 'dn' เพื่อใช้เป็นตัวบ่งชี้เฉพาะ ถ้าใช้แอ็ตทริบิวต์ แอ็ตทริบิวต์ต้องมีอยู่ในทุกอ็อบเจ็กต์ เช่น ผู้ใช้ กลุ่ม โฟลเดอร์ ถ้าใช้ 'dn' จะใช้รีซอร์สเพิ่มเติมเมื่อคุณค้นหาลึกขึ้นในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP และนโยบายอาจได้รับผลกระทบถ้าคุณเปลี่ยนชื่อ 'dn' คลาสอ็อบเจ็กต์ ระบุชื่อของคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ที่ใช้เพื่อระบุโฟลเดอร์ ชื่อ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "name" ของโฟลเดอร์ คลาสอ็อบเจ็กต์ ระบุชื่อของคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ที่ระบุกลุ่ม สมาชิก ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้เพื่อระบุสมาชิกของกลุ่ม คลาสอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์ ระบุชื่อของคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ที่ใช้เพื่อระบุแอคเคาต์ โลแคลของเนื้อหา ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "contentLocale" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "name" สำหรับแอคเคาต์ รหัสผ่าน ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "password" สำหรับแอคเคาต์ โลแคลของผลิตภัณฑ์ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "productLocale" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อผู้ใช้ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "userName" สำหรับแอคเคาต์ ค้นหาผู้ใช้ ระบุการค้นหาผู้ใช้สำหรับการเชื่อมกับเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุสตริงที่ใช้เพื่อสร้าง DN แบบเต็มสำหรับการพิสูจน์ตัวตน ทุกอินสแตนซ์ของ '${userID}' ในสตริงนี้จะถูกแทนที่โดยค่าที่พิมพ์โดยผู้ใช้ที่พร้อมต์ล็อกออน ถ้าสตริงไม่ได้เริ่มต้นด้วยวงเล็บเปิด ผลลัพธ์ของการแทนที่จะถือว่าเป็น DN ซึ่งสามารถใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ตัวอย่างเช่น 'uid=${userID},ou=people, base DN' โดยที่ base DN เป็นค่าพารามิเตอร์ Base Distinguished Name ถ้าค่าเริ่มต้นด้วยวงเล็บเปิด '(' ผลลัพธ์ของการแทนที่จะถือว่าเป็นตัวกรองการค้นหา สำหรับการเชื่อม ผู้ให้บริการใช้ตัวกรองเพื่อให้ได้รับ DN สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ตัวอย่างเช่น '(userPrincipalName=${userID})' ควรใช้ตัวกรองถ้าคุณมีโครงสร้างไดเร็กทอรีแบบลำดับชั้น ใช้เอกลักษณ์ภายนอกหรือไม่? ระบุว่าต้องการใช้เอกลักษณ์จากแหล่งภายนอกสำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้หรือไม่ ถ้าตั้งคุณสมบัตินี้เป็น true ผู้ใช้จะได้รับการพิสูจน์ตัวตนโดยแหล่งภายนอกและเอกลักษณ์ของผู้ใช้จะถูกจัดเตรียมให้กับผลิตภัณฑ์จากแหล่งภายนอก ตัวอย่างเช่น ถ้ากำหนดค่า SSL เพื่อใช้ใบรับรองไคลเอ็นต์ เว็บเซิร์ฟเวอร์จะกำหนดตัวแปรสภาวะแวดล้อม REMOTE_USER เป็นเอกลักษณ์ของผู้ใช้ ถ้าคุณตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true ต้องแน่ใจว่าคุณกำหนดคุณสมบัติ "External Identity Mapping" การแม็พเอกลักษณ์ภายนอก ระบุการแม็พที่ใช้เพื่อหาผู้ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP ใช้คุณสมบัตินี้เฉพาะถ้าคุณเปิดใช้งานคุณสมบัติ "Use External identity" การแม็พนี้ใช้เพื่อสร้าง DN หรือตัวกรองการค้นหาเพื่อหาผู้ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP อินสแตนซ์ทั้งหมดของ '${environment("ENVIRONMENT_VARIABLE_NAME")' ในสตริงนี้จะถูกแทนที่โดยค่าของตัวแปรสภาวะแวดล้อมที่จัดเตรียมโดยเว็บเซิร์ฟเวอร์ ถ้าสตริงไม่ขึ้นต้นด้วยวงเล็บเปิด ผลลัพธ์ของการแทนที่จะถือว่าเป็น DN ของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น 'uid=${environment("REMOTE_USER")},ou=people, base DN' โดยที่ DN เป็นค่าพารามิเตอร์ Base Distinguished Name ถ้าค่าเริ่มต้นด้วยวงเล็บเปิด '(' ผลลัพธ์ของการแทนที่จะถือว่าเป็นตัวกรองการค้นหา ตัวอย่างเช่น '(userPrincipalName=${environment("REMOTE_USER")})' โปรดสังเกตว่าคุณต้องเปิดใช้งานการเข้าถึงแบบไม่ระบุชื่อเพื่อเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP หรือตั้งค่าคุณสมบัติ 'Bind user DN and password' ใช้หนังสือรับรองการโยงสำหรับการค้นหาหรือไม่? ระบุว่าต้องการใช้หนังสือรับรองการโยงเพื่อดำเนินการค้นหาหรือไม่ คุณสมบัตินี้จะมีผลกับคุณสมบัติที่ไม่ใช้การแม็พเอกลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ถ้าตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true หนังสือรับรองการโยงที่ระบุในคอนฟิกูเรชันเนมสเปซจะถูกใช้เพื่อดำเนินการค้นหาในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP ถ้าแฟล็กนี้เป็น false หรือไม่มีหนังสือรับรองการโยง จะใช้หนังสือรับรองผู้ใช้ที่ได้รับการพิสูจน์ตัวตนสำหรับการค้นหา อนุญาตให้รหัสผ่านว่างเปล่าหรือไม่? ระบุว่าจะอนุญาตให้ใช้รหัสผ่านว่างสำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้หรือไม่ ตั้งค่าคุณสมบัติเป็น true เฉพาะถ้าคุณต้องการอนุญาตให้ใช้รหัสผ่านว่าเป็นพิเศษ เมื่อผู้ใช้ไม่ต้องการระบุรหัสผ่าน ผู้ใช้จะได้รับการพิสูจน์ตัวตนเป็นผู้ใช้ที่ไม่ระบุชื่อบนเนมสเปซ LDAP แต่เป็นผู้ใช้ที่ระบุชื่อบนเนมสเปซ Cognos ต้องการรหัสผ่านสำหรับการพิสูจน์ตัวตนจะเพิ่มความปลอดภัยและทำให้ปลอมเอกลักษณ์ได้ยากขึ้น โดยดีฟอลต์ คุณสมบัตินี้จะตั้งค่าเป็น false คำอธิบาย ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "description" ของโฟลเดอร์ คำอธิบาย ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "description" ของกลุ่ม ชื่อ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "name" ของกลุ่ม หมายเลขโทรศัพท์ของธุรกิจ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "businessPhone" สำหรับแอคเคาต์ คำอธิบาย ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "description" สำหรับแอคเคาต์ อีเมล ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "email" สำหรับแอคเคาต์ โทรสาร/โทรศัพท์ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "faxPhone" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อตัว ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "givenName" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์ที่บ้าน ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "homePhone" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์มือถือ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "mobilePhone" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์เพจเจอร์ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "pagerPhone" สำหรับแอคเคาต์ ที่อยู่รหัสไปรษณีย์ ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "postalAddress" สำหรับแอคเคาต์ นามสกุล ระบุแอ็ตทริบิวต์ LDAP ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "surname" สำหรับแอคเคาต์ การแม็พ ID ผู้เช่า ระบุว่าผู้ใช้เนมสเปซจะถูกแม็พเข้ากับ ID ผู้เช่า ระบุค่าสำหรับการเช่าแบบพารามิเตอร์นี้ ID ผู้เช่าสำหรับผู้ใช้สามารถกำหนดได้โดยใช้รูปแบบหรือคลาสผู้ให้บริการผู้เช่า รูปแบบคือพาธการค้นหาบริการ AAA สู่คุณสมบัติซึ่งกำหนด ID ผู้เช่า พาธการค้นหาต้องสัมพันธ์กับแอคเคาต์ผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น: '~/ancestors[2]/defaultName' คลาสผู้ให้บริการผู้เช่าเป็นคลาส Java ซึ่งอิมพลีเมนต์อินเตอร์เฟส ITenantProvider สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูคู่มือการติดตั้งและการกำหนดคอนฟิก รูปแบบ คลาสผู้ให้บริการ การแม็พ ชุดการโยงผู้เช่า ระบุการพิจารณาชุดการโยงผู้เช่าสำหรับผู้ใช้ พารามิเตอร์นี้ใช้เมื่อเปิดใช้งานการมีหลายผู้เช่า ชุดการโยงผู้เช่าสำหรับผู้ใช้สามารถพิจารณาโดยใช้รูปแบบ หรือคลาสตัวให้บริการชุดการโยงผู้เช่า รูปแบบเป็นพาธการค้นหาเซอร์วิส AAA ไปยังคุณสมบัติซึ่งกำหนดชุดการโยงผู้เช่า พาธการค้นหาต้องสัมพันธ์กับแอคเคาต์ผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น: '˜/parameters/boundingSet' คลาสผู้ให้บริการชุดการโยงผู้เช่าคือคลาส Java ซึ่งใช้อินเตอร์เฟส IBoundingSetProvider สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูคู่มือการติดตั้งและการกำหนดคอนฟิก รูปแบบ คลาสผู้ให้บริการ ตำแหน่งใบรับรอง ระบุตำแหน่งใบรับรองที่เชื่อถือได้ ใช้ discovery endpoint? ระบุว่า Identity Provider ส่งคือเอกสารที่ค้นพบ เซ็ตค่านี้เป็น true ถ้า Identity Provider สนับสนุน endpoint เอกสารที่ค้นพบและป้อนข้อมูลในกลุ่มคอนฟิกูเรชัน discovery endpoint เซ็ตค่านี้เป็น false ถ้า Identity Provider ไม่สนับสนุน endpoint เอกสารที่ค้นพบและป้อนข้อมูลในกลุ่มคอนฟิกูเรชันที่ไม่ใช่ discovery endpoint การพิสูจน์ตัวตน Token endpoint ระบุวิธีการพิสูจน์ตัวตนกับ Identity Provider เมื่อเรียก token endpoint ใช้โพสต์ความลับไคลเอ็นต์ ถ้า id ไคลเอ็นต์และความลับไคลเอ็นต์ควรถูกถ่ายทอดในเนื้อความการร้องขอ ใช้พื้นฐานความลับไคลเอ็นต์ ถ้า id ไคลเอ็นต์และความลับไคลเอ็นต์ควรถูกถ่ายทอดในส่วนหัว HTTP โพสต์ความลับไคลเอ็นต์ พื้นฐานความลับไคลเอ็นต์ ไพรเวตคีย์ JWT ไฟล์ไพรเวตคีย์ ระบุไฟล์ที่มีคีย์การลงชื่อแบบไพรเวต ไฟล์ที่มีคีย์การลงชื่อแบบไพรเวตในรูปแบบ PKCS8 ซึ่งต้องมีคีย์ RSA ไพรเวตแบบเดี่ยวที่มีความยาว 2048 บิต รหัสผ่านไพรเวตคีย์ ระบุรหัสผ่านไพรเวตคีย์ที่ใช้เพื่อป้องกันคีย์การลงชื่อไพรเวต ต้องใช้รหัสผ่านนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยของที่เก็บคีย์แบบไพรเวต รหัสผ่านทำให้มีเลเยอร์พิเศษของความปลอดภัยโดยการเข้ารหัสไฟล์ที่เก็บคีย์แบบไพรเวตโดยใช้รหัสผ่าน ตัวระบุไพรเวตคีย์ ระบุตัวระบุหลักที่ควรวางไว้ในส่วนหัว JWT ตัวระบุหลักที่จะถูกตั้งค่าในส่วนหัว JWT 'kid' ใช้คอนฟิกูเรชันไอเท็มนี้ ถ้าผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของคุณต้องการ 'kid' ปล่อยค่านี้ว่างไว้ถ้าผู้ให้บริการเอกลักษณ์ไม่ต้องการ 'kid' ขอบเขตสำหรับ authorize endpoint ระบุค่าพารามิเตอร์ขอบเขตที่จัดเตรียมให้กับ authorize endpoint ค่าพารามิเตอร์ขอบเขตจะถูกเพิ่มให้กับ authorize endpoint URL เพื่อการพิสูจน์ตัวตน ที่ขึ้นต่ำสุด 'openid' ต้องถูกรวมไว้ในรายการของค่าขอบเขตที่เป็นไปได้ การเคลมแอคเคาต์ ระบุว่า id_token มีการเคลมแอคเคาต์ทั้งหมด กำหนดค่านี้ให้กับโทเค็นถ้า id_token มีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมด กำหนดค่านี้ให้กับ userinfo ถ้าควรมีการเรียกเพิ่มเติมไปที่ userinfo endpoint เพื่อเรียกการเคลมของผู้ใช้ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ id_token ID token Userinfo endpoint ตำแหน่งคีย์ลายเซ็น ระบุตำแหน่งของพับลิกคีย์การลงชื่อหรือใบรับรอง กำหนดค่านี้เป็น 'File' ถ้าใบรับรองการลงชื่อถูกดาวน์โหลดด้วยตัวเองจาก Identity Provider เป็นใบรับรองและกำหนดไว้บนระบบไฟล์ กำหนดค่านี้เป็น 'JWKS endpoint' ถ้า Identity Provider สนับสนุน endpoint สำหรับการเรียกคีย์ลายเซ็น id_token หมายเหตุ: ถ้า Identity Provider ไม่สนับสนุนเอกสาร discovery แต่จัดเตรียมพับลิกคีย์ผ่าน JWKS endpoint ดังนั้น JWKS Endpoint ต้องมี URI ที่ถูกต้องสำหรับการเรียกพับลิกคีย์ JWKS endpoint ไฟล์ กลยุทธ์ ระบุวิธีรับเอกลักษณ์ของผู้ใช้เมื่อใช้โฟลว์การให้รหัสผ่าน กำหนดค่านี้ให้กับ id_token ถ้าการเคลมผู้ใช้ทั้งหมดถูกส่งคืนใน id_token กำหนดค่านี้เป็น id_tokenUserinfo ถ้า id_token ถูกส่งคืนจากโฟลว์ให้รหัสผ่าน แต่ไม่มีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมด กำหนดเป็น userinfo ถ้า id_token ไม่มีการเคลมผู้ใช้และถ้าการเคลมผู้ใช้ควรถูกเรียกจาก userinfo endpoint กำหนดเป็น unsupported ถ้า Identity Provider ไม่สนับสนุนโฟลว์การให้รหัสผ่าน ID token ID token และ userinfo endpoint Userinfo endpoint ไม่สนับสนุน รวมขอบเขต? ระบุว่าขอบเขตควรถูกรวมไว้ เมื่อใช้โฟลว์การให้รหัสผ่าน กำหนดค่านี้เป็น true เพื่อระบุว่าพารามิเตอร์ขอบเขตควรถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งสตริงเคียวรีสำหรับโฟลว์การให้รหัสผ่าน กำหนดค่านี้เป็น false เพื่อระบุว่าขอบเขตควรถูกละเว้นจากสตริงเคียวรีสำหรับโฟลว์การให้รหัสผ่าน พารามิเตอร์เพิ่มเติม ระบุพารามิเตอร์เพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับโฟลว์การให้รหัสผ่าน กำหนดค่านี้เพื่อแสดงถึงพารามิเตอร์เพิ่มเติมที่ควรถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งสตริงเคียวรีสำหรับโฟลว์การให้รหัสผ่าน พารามิเตอร์ต้องเริ่มต้นด้วย '&&' และต้องเป็น urlencoded เพื่อให้สามารถถูกแทรกลงในสตริงเคียวรีอย่างปลอดภัย ตัวอย่างถ้าพารามิเตอร์ 'resource=https://ca.ibm.com' จำเป็นในสตริงเคียวรี จะต้องถูกป้อนเป็น: '&resource=https%3A%2F%2Fca.ibm.com' การเคลมแอคเคาต์ ระบุว่า id_token มีการเคลมแอคเคาต์ทั้งหมด ตั้งค่านี้เป็น 'ID token' หาก id_token ที่ส่งคืนจากจุดปลายโทเค็นมีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมด ตั้งค่านี้เป็น 'Userinfo endpoint' หากการเรียกเพิ่มเติมไปยังจุดปลายข้อมูลผู้ใช้จำเป็นต้องมีเพื่อขอรับการเคลมผู้ใช้ทั้งหมด ID token Userinfo endpoint กลยุทธ์ ระบุข้อมูลที่ควรถูกเก็บสำหรับงานการกำหนดตารางเวลา ตั้งค่านี้เป็น 'Credentials' หาก Identity Provider สนับสนุนการกำหนดรหัสผ่านและส่งคืน id_token ที่ถูกต้องที่มีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมดในการตอบกลับ ตั้งค่านี้เป็น 'Credentials และ ID token' หาก Identity Provider สนับสนุนโฟลว์การกำหนดรหัสผ่านแต่ไม่ส่งคืน id_token ที่ถูกต้องในการตอบกลับ หรือหาก id_token ไม่มีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมด ตั้งค่านี้เป็น 'Refresh token' หาก Identity Provider สนับสนุนโฟลว์การรีเฟรชโทเค็น ให้จัดเตรียมการรีเฟรชโทเค็นที่ยังไม่หมดอายุ และส่งคืน id_token ที่ถูกต้องที่มีการเคลมผู้ใช้ทั้งหมดจากโฟลว์การรีเฟรชโทเค็น ตั้งค่านี้เป็น 'ID token only' หาก Identity Provider ไม่สนับสนุนการกำหนดรหัสผ่านหรือโฟลว์การรีเฟรชโทเค็น (หมายเหตุ: เมื่อตั้งค่าเป็น 'ID token only' จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบว่า ผู้ใช้ยังคงอยู่และเปิดใช้งานใน Identity Provider แล้ว) ข้อมูลประจำตัว ข้อมูลประจำตัวและ ID token รีเฟรชโทเค็น ID token เท่านั้น ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับที่เก็บเนื้อหา ค่านี้ระบุผู้ใช้ฐานข้อมูลที่มีสิทธิ์ที่จำกัดเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์ใช้แอคเคาต์นี้เพื่อเข้าถึงที่เก็บเนื้อหา เพื่อรักษาความปลอดภัยหนังสือรับรองการล็อกออน คุณสามารถเข้ารหัสข้อมูลการล็อกออนฐานข้อมูลได้ทันทีโดยการบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลและหมายเลขพอร์ต ระบุชื่อโฮสต์หรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ที่มีที่เก็บเนื้อหา เปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ถ้าที่เก็บเนื้อหาอยู่บนรีโมตคอมพิวเตอร์หรือใช้พอร์ตอื่นที่ไม่ใช่พอร์ตปัจจุบัน เซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลที่มีหมายเลขพอร์ตหรือชื่ออินสแตนซ์ ระบุเซิร์ฟเวอร์ Microsoft SQL โดยใช้ตัวอธิบาย host:port หรือ host\\instancename ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุเซิร์ฟเวอร์ Microsoft SQL ด้วยพอร์ตหรืออินสแตนซ์ที่กำหนดชื่อ ถ้าระบุชื่ออินสแตนซ์ ให้ใช้แบ็กสแลชเพื่อแยกชื่อโฮสต์จากชื่ออินสแตนซ์ (เช่น hostname\\instance1) ชื่อเซอร์วิส ระบุชื่อเซอร์วิส (SID) สำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูล Oracle ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับอินสแตนซ์ Oracle ที่สอดคล้องกับฐานข้อมูล SID ระบุ SID สำหรับอินสแตนซ์ฐานข้อมูล Oracle ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับอินสแตนซ์ Oracle ที่สอดคล้องกับฐานข้อมูล ชื่อฐานข้อมูล ระบุชื่อของฐานข้อมูลที่ใช้เป็นที่เก็บเนื้อหา ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ชื่อจะถูกกำหนดเมื่อคุณสร้างฐานข้อมูล ต้องแน่ใจว่าค่าสำหรับคุณสมบัตินี้สอดคล้องกับชื่อของฐานข้อมูลที่คุณสร้าง ไม่เช่นนั้น ผลิตภัณฑ์จะไม่รัน Database specifier ระบุฐานข้อมูล Oracle ที่มีตัวอธิบายการเชื่อมต่อ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุฐานข้อมูล Oracle ที่มีคู่ของคีย์เวิร์ด-ค่า Net8 เวอร์ชัน ระบุเวอร์ชันของ Microsoft SQL Server SQL Server 2005 SQL Server 2008 เปิดใช้งานการเข้ารหัสลับ SSL Encryption แล้ว ระบุว่าการเชื่อมต่อฐานข้อมูลควรใช้การเข้ารหัสลับ SSL หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานการเข้ารหัสลับ SSL ของการเชื่อมต่อฐานข้อมูล เปิดใช้งานหรือไม่? ใช้แฟล็กนี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานอะแด็ปเตอร์นี้ ID อะแด็ปเตอร์ ระบุ ID เฉพาะของอะแด็ปเตอร์นี้ ID ของอินสแตนซ์คอนฟิกูเรชันอะแด็ปเตอร์ทั้งหมดต้องไม่ซ้ำกันระหว่างอินสแตนซ์อะแด็ปเตอร์ทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint ซึ่งรวมถึงอินสแตนซ์อะแด็ปเตอร์อื่นที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์เดียวกัน ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหา คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหาในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server (Windows Authentication) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ฐานข้อมูล Oracle (ขั้นสูง) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ระบุการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนี้โดยใช้คำอธิบายชื่อ Oracle TNS ตัวอย่างเช่น (description=(address=(host=myhost)(protocol=tcp)(port=1521))(connect_data=(sid=orcl))) ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อมีการระบุค่า จะทำการเชื่อมต่อฐานข้อมูลโดยตรงกับฐานข้อมูล (ชนิด 4) เมื่อปล่อยให้ค่าว่าง การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะถูกทำผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ชนิด 2) ระบุชื่อของฐานข้อมูล DB2 ฐานข้อมูล Informix Dynamic Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อใช้หาฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุชื่อของฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ที่เก็บอ็อบเจ็กต์ภายนอก กำหนดที่เก็บอ็อบเจ็กต์ภายนอก ระบบไฟล์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อเข้าถึงที่เก็บอ็อบเจ็กต์แบบใช้ระบบไฟล์ ต้องแน่ใจว่ามีตำแหน่งระบบไฟล์อยู่และสามารถเข้าถึงได้แบบสมบูรณ์สำหรับผู้ใช้ที่มีหนังสือรับรองที่จะรันเซอร์วิส IBM Cognos พาธ ระบุชุดของพาธเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows และ Unix ต้องระบุพาธโดยใช้รูปแบบ URI (เช่น file://host/file-system-path) อิลิเมนต์โฮสต์ใน URI สามารถใช้เพื่อระบุพาธ Windows UNC เช่น \\\\host\\share เมื่อต้องการระบุโลคัลพาธต้องตัดอิลิเมนต์โฮสต์ออก (เช่น file:///c:/file-system-path) สำหรับ Unix URI ไม่สนับสนุนอิลิเมนต์โฮสต์ ต้องใช้โลคัลพาธ ไม่สนับสนุนพาธแบบสัมพันธ์ เช่น file:///../file-system-path สำหรับการติดตั้ง IBM Cognos แบบกระจาย ตำแหน่ง URI ต้องสามารถเข้าถึงได้โดยอินสแตนซ์ทั้งหมด ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหา คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหาในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ระบุคุณสมบัติฐานข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถต่อกันเป็นคู่ name = vaule ในสตริงการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server (Windows Authentication) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ระบุคุณสมบัติฐานข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถต่อกันเป็นคู่ name = vaule ในสตริงการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุคุณสมบัติฐานข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถต่อกันเป็นคู่ name = vaule ในสตริงการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูล Oracle (ขั้นสูง) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ระบุการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนี้โดยใช้คำอธิบายชื่อ Oracle TNS ตัวอย่างเช่น (description=(address=(host=myhost)(protocol=tcp)(port=1521))(connect_data=(sid=orcl))) ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว สร้าง DDL ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อระบุค่าไว้ การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะเกิดขึ้นโดยตรงกับฐานข้อมูล (ประเภท4) เมื่อค่าเป็นค่าว่างทางซ้าย การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะเกิดขึ้นผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ประเภท 2) ระบุชื่อของฐานข้อมูล DB2 ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ระบุคุณสมบัติฐานข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถต่อกันเป็นคู่ name = vaule ในสตริงการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูล Informix Dynamic Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อใช้หาฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุชื่อของฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ระบุคุณสมบัติฐานข้อมูลเพิ่มเติมที่สามารถต่อกันเป็นคู่ name = vaule ในสตริงการเชื่อมต่อ ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหา คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหาในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการวางแผน ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server (Windows Authentication) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการวางแผน ฐานข้อมูล Oracle (ขั้นสูง) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ระบุการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนี้โดยใช้คำอธิบายชื่อ Oracle TNS ตัวอย่างเช่น (description=(address=(host=myhost)(protocol=tcp)(port=1521))(connect_data=(sid=orcl))) ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการวางแผน ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อมีการระบุค่า จะทำการเชื่อมต่อฐานข้อมูลโดยตรงกับฐานข้อมูล (ชนิด 4) เมื่อปล่อยให้ค่าว่าง การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะถูกทำผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ชนิด 2) ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการวางแผน ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหา คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหาในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ค่านี้ระบุผู้ใช้ฐานข้อมูลที่มีสิทธิ์ที่จำกัดเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์ใช้แอคเคาต์นี้เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยหนังสือรับรองการล็อกออน คุณสามารถเข้ารหัสข้อมูลการล็อกออนฐานข้อมูลได้ทันทีโดยการบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server (Windows Authentication) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ค่านี้ระบุผู้ใช้ฐานข้อมูลที่มีสิทธิ์ที่จำกัดเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์ใช้แอคเคาต์นี้เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยหนังสือรับรองการล็อกออน คุณสามารถเข้ารหัสข้อมูลการล็อกออนฐานข้อมูลได้ทันทีโดยการบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ ฐานข้อมูล Oracle (ขั้นสูง) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ระบุการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนี้โดยใช้คำอธิบายชื่อ Oracle TNS ตัวอย่างเช่น (description=(address=(host=myhost)(protocol=tcp)(port=1521))(connect_data=(sid=orcl))) ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ค่านี้ระบุผู้ใช้ฐานข้อมูลที่มีสิทธิ์ที่จำกัดเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์ใช้แอคเคาต์นี้เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยหนังสือรับรองการล็อกออน คุณสามารถเข้ารหัสข้อมูลการล็อกออนฐานข้อมูลได้ทันทีโดยการบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อมีการระบุค่า จะทำการเชื่อมต่อฐานข้อมูลโดยตรงกับฐานข้อมูล (ชนิด 4) เมื่อปล่อยให้ค่าว่าง การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะถูกทำผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ชนิด 2) ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ค่านี้ระบุผู้ใช้ฐานข้อมูลที่มีสิทธิ์ที่จำกัดเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล ผลิตภัณฑ์ใช้แอคเคาต์นี้เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล เพื่อรักษาความปลอดภัยหนังสือรับรองการล็อกออน คุณสามารถเข้ารหัสข้อมูลการล็อกออนฐานข้อมูลได้ทันทีโดยการบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ ฐานข้อมูล Informix Dynamic Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อใช้หาฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุชื่อของฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บ Business Viewpoint คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุอินสแตนซ์ของฐานข้อมูล Microsoft SQL Server 2005 โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" ระบุชื่อหรือ IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ชื่อ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ใช้ SQL Server Configuration Manager เพื่อกำหนดพอร์ต TCP ที่ใช้โดยอินสแตนซ์ฐานข้อมูล สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server 2005 ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อมีการระบุค่า จะทำการเชื่อมต่อฐานข้อมูลโดยตรงกับฐานข้อมูล (ชนิด 4) เมื่อปล่อยให้ค่าว่าง การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะถูกทำผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ชนิด 2) ระบุชื่อของฐานข้อมูล DB2 ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูล Controller คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของฐานข้อมูล Controller ในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ การเข้ารหัสข้อมูล ระบุการเข้ารหัสของข้อมูลที่เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP ถ้าคุณสมบัตินี้ถูกกำหนดค่าเป็นการเข้ารหัสอื่นที่ไม่ใช่ UTF-8 ดังนั้นข้อมูลจะถูกแปลงจาก UTF-8 เป็นการเข้ารหัสที่คุณระบุ การเข้ารหัสต้องเป็นไปตามข้อมูลจำเพาะชุดอักขระ IANA (RFC 1700) หรือ MIME ตัวอย่างเช่น ใช้ windows-1252, iso-8859-1, iso-8859-15, Shift_JIS, utf-16 หรือ utf-8 การหมดเวลา Ping ในหน่วยวินาที ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดเพื่อรอการตอบสนองต่อ ping ถ้า ping ไม่ได้รับการตอบสนองภายในช่วงเวลาที่ระบุ กระบวนการจะถูกรีสตาร์ทโดยอัตโนมัติ เวลาที่รอการหยุดทำงานในหน่วยวินาที ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่เซอร์วิส IBM Cognos รอให้กระบวนการหยุดทำงาน หลังจากเวลานี้ กระบวนการจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ หน่วยความจำสูงสุดในหน่วย MB ระบุจำนวนของหน่วยความจำสูงสุดในหน่วย MB ที่สามารถใช้โดยกระบวนการ ค่านี้จะกำหนดจำนวนของหน่วยความจำที่ใช้โดย Java Virtual Machine และขึ้นอยู่กับจำนวนของหน่วยความจำที่พร้อมใช้งาน ถ้าค่านี้สูงเกินไป กระบวนการจะไม่สามารถเริ่มทำงานและไม่มีการสร้างข้อมูลบันทึก เรียกใช้แอ็คชันการทดสอบเพื่อตรวจสอบว่าค่าถูกต้องหรือไม่ หมายเลขพอร์ตปิดการทำงาน ระบุพอร์ตที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อรับฟังคำสั่งปิดการทำงาน หมายเลขพอร์ตที่ใช้โดย Tomcat เมื่อคุณเปลี่ยนพอร์ต พอร์ตจะถูกอัพเดตโดยอัตโนมัติในไฟล์ server.xml ที่อยู่ในไดเร็กทอรี cognos_location/tomcat/conf ตำแหน่งที่เก็บคีย์การลงชื่อ ระบุตำแหน่งของฐานข้อมูลที่เก็บคีย์ที่มีคู่ของคีย์การลงชื่อ สำหรับการติดตั้งแบบกระจาย ฐานข้อมูลนี้ต้องมีอยู่บนคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง รหัสผ่านที่เก็บคีย์การลงชื่อ ระบุรหัสผ่านที่ใช้เพื่อป้องกันฐานข้อมูลคีย์การลงชื่อ รหัสผ่านนี้จะจัดเตรียมระดับของการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ใช้ไม่ได้เมื่อเก็บคีย์ในไฟล์ โดยดีฟอลต์ รหัสผ่านนี้จะถูกเข้ารหัสทันทีเมื่อคุณบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ ตำแหน่งที่เก็บคีย์การเข้ารหัส ระบุตำแหน่งของที่เก็บคีย์ที่มีคู่ของคีย์การเข้ารหัส สำหรับการติดตั้งแบบกระจาย ฐานข้อมูลนี้ต้องมีอยู่บนคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง รหัสผ่านที่เก็บคีย์การเข้ารหัส ระบุรหัสผ่านที่ใช้เพื่อป้องกันฐานข้อมูลคีย์การเข้ารหัส รหัสผ่านนี้จะจัดเตรียมระดับของการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ใช้ไม่ได้เมื่อเก็บคีย์ในไฟล์ โดยดีฟอลต์ รหัสผ่านนี้จะถูกเข้ารหัสทันทีเมื่อคุณบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ พาธ ระบุชุดย่อยของ URL ในโดเมนที่คุกกี้ใช้ได้ ถ้าคุกกี้ผ่านการเปรียบเทียบโดเมนได้สำเร็จ คอมโพเนนต์ pathname ของ URL จะถูกเปรียบเทียบกับค่าของคุณสมบัตินี้ ถ้าค่าตรงกัน คุกกี้จะใช้ได้ พาธ "/" เป็นพาธทั่วไปที่สุด โดเมน ระบุโดเมนที่คุกกี้ใช้ได้ แอ็ตทริบิวต์โดเมนของคุกกี้จะถูกเปรียบเทียบกับชื่ออินเตอร์เน็ตโดเมนของโฮสต์ที่จะดึง URL ถ้าค่าตรงกัน คุกกี้จะใช้ได้ เปิดใช้งานแฟล็กการรักษาความปลอดภัยหรือไม่? ระบุว่าจะส่งคุกกี้ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่รักษาความปลอดภัยเท่านั้นหรือไม่ ถ้าตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true ดังนั้นคุกกี้จะถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ HTTPS เท่านั้น ถ้าตั้งค่าคุณสมบัติเป็น false คุกกี้สามารถส่งบนช่องทางที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัย คุณสมบัติที่กำหนดเอง ระบุชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเอง ผู้ใช้ต้องระบุชื่อและค่าสำหรับคุณสมบัติที่กำหนดเอง SMTP เมลเซิร์ฟเวอร์ ระบุชื่อโฮสต์และพอร์ตของคอมพิวเตอร์เมลเซิร์ฟเวอร์ ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้เพื่อระบุตำแหน่งของเมลเซิร์ฟเวอร์: host:port พอร์ต SMTP ดีฟอลต์บนเมลเซิร์ฟเวอร์ส่วนใหญ่ คือ 25 แอคเคาต์และรหัสผ่าน ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อล็อกออนเข้าสู่เมลเซิร์ฟเวอร์ ถ้าเมลเซิร์ฟเวอร์ต้องการการพิสูจน์ตัวตนเพื่อส่งข้อความ ให้ป้อน ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน ถ้าเมลเซิร์ฟเวอร์ไม่ต้องการการพิสูจน์ตัวตน ให้ปล่อยค่าเหล่านี้ว่างไว้ ผู้ส่งดีฟอลต์ ระบุอีเมลแอดเดรสของผู้ส่ง การตั้งค่านี้ระบุอีเมลแอดเดรสของ 'sender' ของข้อความขาออก ใช้อีเมลแอดเดรสที่ถูกต้อง ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ ระบุการนำผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ไปใช้งาน ผู้ออก ระบุผู้ออกการเรียกคืน OpenID สตริงที่แทนค่าผู้ให้บริการเอกลักษณ์ที่ออกการเรียกคืนในโทเค็น ID ค่านี้ต้องตรงกับค่าของรายการ 'iss' ในโทเด็น ID เอกสาร JSON จุดปลายโทเค็น ระบุจุดปลายโทเค็นของ OpenID Connect จุดปลายโทเค็นใช้เพื่อดึงโทเค็นเอกลักษณ์หลังจากการพิสูจน์ตัวตนกับผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำเร็จ จุดปลายการพิสูจน์ตัวตน ระบุจุดปลายการให้สิทธิ์ OpenID Connect จุดปลายการให้สิทธิ์เป็น URL ที่ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ของคุณใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ในกรณีส่วนใหญ่ URL ควรใช้รูปแบบ https จุดปลายการให้สิทธิ์จะถูกเรียกใช้เมื่อผู้ใช้พิสูจน์ตัวตนกับผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ตัวระบุไคลเอ็นต์ ระบุตัวระบุไคลเอ็นต์ OpenID Connect เอกลักษณ์ไคลเอ็นต์ที่กำหนดให้กับแอ็พพลิเคชันโดยผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ข้อมูลลับของ OpenID Connect ระบุข้อมูลลับที่กำหนดให้กับแอ็พพลิเคชันโดยผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ข้อมูลลับไคลเอ็นต์ที่กำหนดให้กับแอ็พพลิเคชันโดยผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ไฟล์ใบรับรองผู้ให้บริการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ระบุตำแหน่งของใบรับรองที่ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ใช้เพื่อลงนามโทเค็นเอกลักษณ์ พาธไปยังไฟล์ที่มีใบรับรองที่ผู้ให้บริการใบรับรองใช้เพื่อลงนาม JSON Web Token พาธที่ประกอบด้วยชื่อไฟล์ใบรับรองและสามารถเข้าถึงอินสแตนซ์ที่รันอยู่ของ Cognos Analytics ใบรับรองต้องอยู่ในรูปแบบ PEM ซึ่งมีเฉพาะใบรับรองพับลิกคีย์ และมีบรรทัดเริ่มต้นและสิ้นสุดของใบรับรอง ไฟล์ใบรับรองต้องไม่อยู่ในไดเร็กทอรี configuration/certs จุดปลาย JWKS ระบุจุดปลาย OpenID Connect สำหรับการดึงคีย์การลงนาม JWT โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname:port>/affwebservices/CASSO/oidc/jwks?AuthorizationProvider=<provider name> จุดปลาย JWKS เป็น URL ที่ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect ของคุณใช้เพื่อจัดเตรียมข้อมูลคีย์การลงนาม ในกรณีส่วนใหญ่ URL ควรใช้รูปแบบ https จุดปลาย JWKS ถูกเรียกใช้เมื่อตรวจสอบความถูกต้อง id_token ที่ส่งคืนจากผู้ให้บริการเอกลักษณ์ ส่งคืน URL ส่งคืน URL ที่กำหนดค่าพร้อมกับผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect URL ส่งคืนถูกเรียกใช้โดยผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect หลังจากพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้แล้ว รูปแบบของ URL คือ https://dispatcherHOST:dispatcherPORT/bi/completeAuth.jsp หรือ https://webserverHOST:webserverPORT/ibmcognos/bi/completeAuth.jsp URL จะดำเนินการการพิสูจน์ตัวตน Cognos Analytics ให้สมบูรณ์โดยใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect จุดปลายการค้นพบ ระบุจุดปลายการค้นหา OpenID Connect จุดปลายการค้นหาใช้เพ่อดึงคอนฟิกูเรชันของ OpenID Connect ที่ประกอบด้วยจุดปลายการให้สิทธิ์ จุดปลายโทเค็น จุดปลาย jwks และผู้ออก ระบุชื่อการเรียกคืน ระบุชื่อของการเรียกคืนที่จัดเตรียมไว้ให้กับเนมสเปซเป้าหมาย สตริงที่แทนค่าชื่อของการเรียกคืนจาก id_token ที่จัดเตรียมไว้ให้กับเนมสเปซเป้าหมาย ค่านี้ต้องเป็นค่าสตริงเดียวใน id_token และต้องมีอยุ่สำหรับอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์ทั้งหมด ชื่อสภาวะแวดล้อมที่เชื่อถือได้ ระบุชื่อตัวแปรสภาวะแวดล้อมที่จะใช้เพื่อโอนย้ายการเรียกคืนไปยังเนมสเปซเป้าหมาย สตริงที่แทนค่าชื่อตัวแปรสภาวะแวดล้อมที่จะใช้เพื่อโอนย้ายการเรียกคืนไปยังเนมสเปซเป้าหมาย ค่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดเนมสเปซเป้าหมายและสอดคล้องกับวิธีการที่เนมสเปซเป้าหมายจะขอรับเอกลักษณ์ประจำตัวผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น ทั้งเนมสเปซชนิด LDAP และ Active Directory ต้องการให้ส่งผ่านเอกลักษณ์ประจำตัวผู้ใช้ในตัวแปรสภาวะแวดล้อม REMOTE_USER เปลี่ยนทิศทาง ID เนมสเปซ ระบุ ID เนมสเปซที่จะเรียกทำงานด้วยการเรียกคืนที่ขอรับจากผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID สตริงที่แทนค่า ID ของเนมสเปซที่จะเรียกทำงานด้วยการเรียกคืนที่ขอรับจากผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID ค่านี้ต้องตรงกับ ID เนมสเปซของเนมสเปซที่กำหนดคอนฟิกไว้ (เช่น LDAP, AD เป็นต้น) ตัวบ่งชี้เฉพาะ ระบุค่าที่ใช้ระบุอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์โดยเฉพาะ ระบุคุณสมบัติโมเดลอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์ของ Content Manager ที่มีอยู่ (เช่น อีเมล ชื่อผู้ใช้ ชื่อดีฟอลต์ ฯลฯ ) หรือชื่อของคุณสมบัติแบบกำหนดเองที่กำหนดคอนฟิกไว้ การเคลมต้องคืนค่าสำหรับแอคเคาต์ทั้งหมดจาก Identity Provider สำหรับคุณสมบัติโมเดลอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์ของ Content Manager หรือคุณสมบัติแบบกำหนดเองที่กำหนดคอนฟิกไว้ ค่าที่เลือกต้องเป็นค่าเฉพาะตลอดทั้งอ็อบเจ็กต์แอคเคาต์ ค่าที่เลือกควรเป็นค่าคงที่ตลอดช่วงเวลาพร้อมความเป็นไปได้น้อยที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง หมายเหตุ: ค่านี้ไม่ควรเปลี่ยนแปลงหลังจากการกำหนดคอนฟิกเนมสเปซเริ่มต้น
กลุ่มคอนฟิกูเรชัน กำหนดคุณสมบัติสำหรับกลุ่มคอนฟิกูเรชัน การตั้งค่ากลุ่ม กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลกลุ่มคอนฟิกูเรชัน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดข้อมูลที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเซิร์ฟเวอร์คอนฟิกูเรชัน ชื่อกลุ่ม ระบุชื่อของกลุ่มคอนฟิกูเรชัน ชื่อที่กำหนดกลุ่มของการติดตั้ง/เซิร์ฟเวอร์ที่แบ่งใช้คอนฟิกูเรชันในกลุ่มคอนฟิกูเรชัน ค่านี้ต้องเหมือนกันสำหรับเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในกลุ่มคอนฟิกูเรชัน และต้องไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละกลุ่ม กลุ่มคอนฟิกูเรชันที่ต่างกันต้องมีชื่อที่ต่างกัน แนะนำให้ใช้ชื่อที่ช่วยอธิบาย เช่น "inventory_production" รหัสผ่านของกลุ่ม ระบุรหัสผ่านที่เปิดใช้งานการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างสมาชิกของกลุ่มคอนฟิกูเรชัน รหัสผ่านต้องเหมือนกันสำหรับสมาชิกทั้งหมดของกลุ่ม พอร์ตของผู้ติดต่อกลุ่ม ระบุหมายเลขพอร์ตที่ใช้สำหรับการสื่อสารกลุ่ม และการประสานงานระหว่างสมาชิกกลุ่มคอนฟิกูเรชันหลัก การติดตั้ง CA อื่นใช้พอร์ตนี้และโฮสต์ของผู้ติดต่อกลุ่มเป็นวิธีแรกในการเข้าร่วมกลุ่มคอนฟิกูเรชัน โฮสต์ของผู้ติดต่อกลุ่ม ระบุชื่อโฮสต์ของสมาชิกกลุ่มคอนฟิกูเรชันหลัก ซึ่งควรเป็นโฮสต์เดียวกันกับการติดตั้ง Content Manager หลัก การตั้งค่าสมาชิกโลคัล กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลกลุ่มคอนฟิกูเรชันแบบโลคัล ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดข้อมูลที่เชื่อมโยงกับสมาชิกโลคัลของกลุ่มคอนฟิกูเรชัน พอร์ตการซิงโครไนซ์สมาชิก ระบุหมายเลขพอร์ตแบบโลคัลที่ใช้สำหรับการสื่อสารเครือข่าย ซึ่งจะโอนย้ายและซิงโครไนซ์ข้อมูลคอนฟิกูเรชันจากเซิร์ฟเวอร์หนึ่งไปยังอีกเซิร์ฟเวอร์หนึ่ง สามารถเป็นพอร์ตที่ว่างใด ๆ พอร์ตการประสานงานสมาชิก ระบุหมายเลขพอร์ตแบบโลคัลที่ใช้สำหรับการสื่อสารเครือข่ายสำหรับการประสานงานกลุ่ม พอร์ตนี้ใช้เพื่อค้นหาและเข้าร่วมกลุ่ม และรักษารายชื่อของสมาชิกกลุ่มคอนฟิกูเรชันล่าสุด ในการติดตั้ง CM หลัก พอร์ตของผู้ติดต่อกลุ่มคือพอร์ตเดียวกัน โฮสต์ของการประสานงานสมาชิก ระบุชื่อชื่อโฮสต์แบบโลคัลที่ใช้สำหรับการสื่อสารเครือข่ายสำหรับการประสานงานกลุ่ม ชื่อโฮสต์ที่แปลงให้เป็นแอดเดรสเครือข่ายที่ควรใช้เพื่อสื่อสารกับการติดตั้งนี้สำหรับการสื่อสารกลุ่ม ชื่อโฮสต์เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ถูกใช้ตามดีฟอลต์ ถ้าเครื่องโลคัลมีอะแด็ปเตอร์เครือข่ายมากกว่าหนึ่งอะแด็ปเตอร์ อาจจำเป็นต้องระบุชื่อโฮสต์เครือข่ายหรือ IP แอดเดรสเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ใช้อะแด็ปเตอร์ที่ถูกต้อง
TM1 Application Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ TM1 Application Server หน่วยความจำสูงสุดในหน่วย MB ระบุจำนวนของหน่วยความจำสูงสุดในหน่วย MB ที่สามารถใช้โดยกระบวนการ ค่านี้จะกำหนดจำนวนของหน่วยความจำที่ใช้โดย Java Virtual Machine และขึ้นอยู่กับจำนวนของหน่วยความจำที่พร้อมใช้งาน ถ้าค่านี้สูงเกินไป กระบวนการจะไม่สามารถเริ่มทำงานและไม่มีการสร้างข้อมูลบันทึก TM1 Application Server Gateway URI ระบุ URI ของเกตเวย์ เกตเวย์ต้องอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกันกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ URI เซิร์ฟเวอร์ภายนอก ระบุ URI ภายนอกที่ใช้เพื่อเข้าถึงเซอร์วิส ระบุ URI ภายนอกที่ใช้เพื่อเข้าถึงเซอร์วิสเมื่อถูกวางไว้หลังไฟร์วอลล์ อิลิเมนต์นี้จะเป็นดีฟอลต์สำหรับ URI เซอร์วิสภายใน การหมดเวลาเซสชัน (นาที) การวางแผนการหมดเวลาเซสชันของเซอร์วิสพอร์ทัล ระบุระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานที่อนุญาตก่อนที่เซสชันจะถูกยกเลิก บังคับใช้พาธที่ได้รับการรับรอง บังคับใช้พาธที่ได้รับการรับรอง บังคับใช้พาธที่ได้รับการรับรอง ผู้ให้บริการการแจ้งเตือน ระบุผู้ให้บริการการแจ้งเตือน ระบุผู้ให้บริการการแจ้งเตือน ที่ใช้เพื่อควบคุมการส่งการแจ้งเตือน DLS: จะส่งอีเมล (ถ้ามีการกำหนดคอนฟิกเมลเซิร์ฟเวอร์) แต่การแจ้งเตือนจะไม่ปรากฎขึ้นใน Cognos Inbox HTS: จะส่งการแจ้งเตือนไปยัง Cognos Inbox และจะส่งอีเมลด้วยถ้ามีการกำหนดคอนฟิกเมลเซิร์ฟเวอร์ เปิดใช้งาน Business Viewpoint เปิดใช้งาน Business Viewpoint เปิดใช้งาน Business Viewpoint Business Viewpoint URI ระบุ Business Viewpoint URI ระบุ Business Viewpoint URI เปิดใช้งานการทำบัตรคะแนน เปิดใช้งานการทำบัตรคะแนน เปิดใช้งานการทำบัตรคะแนน ชื่อโฟลเดอร์ Cognos Connection ระบุชื่อดีฟอลต์ของโฟลเดอร์ IBM Cognos ใช้เพื่อระบุชื่อดีฟอลต์ของโฟลเดอร์ IBM Cognos ที่จะถูกสร้างที่ระดับ Public Folders เพื่อให้มีอ็อบเจ็กต์ URL พาธนิยามของแอ็พพลิเคชัน พาธไปยังตำแหน่งของนิยามของ TM1 Application ซึ่งอาจเป็นการอ้างอิงแบบ UNC ใช้เพื่อระบุตำแหน่งของไฟล์นิยามของแอ็พพลิเคชัน พาธการกำหนดค่าตามความชอบของผู้ใช้ พาธไปยังตำแหน่งของนิยามของการกำหนดค่าตามความชอบของผู้ใช้ ใช้เพื่อระบุตำแหน่งของไฟล์การกำหนดค่าตามความชอบของผู้ใช้ ซึ่งใช้เฉพาะกับเซิร์ฟเวอร์ TM1 ที่พิสูจน์ตัวตนโดยใช้การรักษาความปลอดภัย Native TM1 พาธไฟล์คอนฟิกูเรชันของเซอร์วิส ระบุตำแหน่งของไฟล์ xml สตริงที่เก็บคอนฟิกูเรชันของ TM1 Application Server ระบุชื่อของโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ xml สตริง TM1 Application Server Dispatcher URI ระบุ URI ไปยัง dispatcher ที่ประมวลผลคำร้องขอจากเซอร์วิสบนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน ค่านี้ระบุผู้ใช้การวางแผนที่มีสิทธิ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์การวางแผน เซอร์วิสใช้แอคเคาต์นี้เพื่อพิสูจน์ตัวตนกับเซิร์ฟเวอร์การวางแผน เนมสเปซ ระบุข้อมูลเนมสเปซ คุณสมบัตินี้เป็นทางเลือก ซึ่งระบุข้อมูลเนมสเปซที่ต้องการสำหรับการพิสูจน์ตัวตน TM1 Clients การตั้งค่าคอนฟิกูเรชันสำหรับ TM1 Clients Provisioning URI ระบุ URI ของไซต์การเตรียม ระบุ URI ของไซต์การเตรียม อิลิเมนต์จะเป็นดีฟอลต์สำหรับการวางแผน URI แอ็พพลิเคชันเซอร์วิส อนุญาตการติดตั้งที่เตรียมไว้ ระบุว่าไคลเอ็นต์อาจถูกเตียมจาก TM1 Application Server หรือไม่ ระบุว่าไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์อาจถูกเตรียมให้กับเครื่องของผู้ใช้ อนุญาตการอัพเดตที่เตรียมไว้ ระบุว่าไคลเอ็นต์ที่มีอยู่อาจได้รับการอัพเดตจาก TM1 Application Server ระบุว่าไคลเอ็นต์ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่บนเครื่องของผู้ใช้อาจได้รับอัพเดตถ้า TM1 Application Server ถูกอัพเดต เปิดใช้งานการเผยแพร่จาก Cognos Insight เปิดใช้งานการเผยแพร่จาก Cognos Insight เปิดใช้งานการเผยแพร่จาก Cognos Insight ความถี่ในการ ping ของ Cognos Insight (วินาที) ระบุความถี่ที่ Cognos Insight ping TM1 Application Server ระบุความถี่ที่ Cognos Insight ไคลเอ็นต์ใน 'Contributor mode' ping TM1 Application Server ค่าดีฟอลต์คือ 30 วินาที เริ่มต้น การเริ่มต้น TM1 Application Server หยุด การหยุด TM1 Application Server เซอร์วิส TM1 Excel กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซอร์วิส TM1 Excel เซอร์วิส TM1 Excel สนับสนุน TM1 Web ที่มีความสามารถ Export to Excel เริ่มต้น การเริ่มต้นเซอร์วิส TM1 Excel หยุด การหยุดเซอร์วิส TM1 Excel ติดตั้ง การลงทะเบียนเซอร์วิส TM1 Excel ถอนการติดตั้ง การถอนการติดตั้งเซอร์วิส TM1 Excel TM1 Admin Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ TM1 Admin Server หมายเลขพอร์ตโฮสต์ TM1 Admin Server ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่ใช้โดย TM1 Admin Server สำหรับการสื่อสารที่ไม่มีการรักษาความปลอดภัย หมายเลขพอร์ต SSL ของ TM1 Admin Server ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่ใช้โดย TM1 Admin Server สำหรับการสื่อสารที่มีการรักษาความปลอดภัย (SSL) สนับสนุนไคลเอ็นต์ที่ไม่ใช้ SSL หรือไม่? ระบุ ถ้า TM1 Admin Server สนับสนุนเซิร์ฟเวอร์ TM1 ที่ไม่ใช้ SSL ตั้งค่าพารามิเตอร์เป็น true เพื่อกำหนดค่า TM1 Admin Server เพื่อสนับสนุนพารามิเตอร์ที่ไม่ใช้ SSL และรับฟังการเชื่อมต่อของไคลเอ็นต์ทั้งบนพอร์ตที่มีการรักษาความปลอดภัย (SSL) และไม่มีการรักษาความปลอดภัย ถ้าตั้งค่าเป็น false TM1 Admin Server จะสนับสนุนเฉพาะการเชื่อมต่อไคลเอ็นต์แบบ SSL บนพอร์ตที่มีการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น ตำแหน่งคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 2048 บิต ระบุตำแหน่งของคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 2048 บิต พาธแบบเต็มของไฟล์ที่มีคีย์ Diffie-Hellman 2048 บิตที่สร้างไว้ล่วงหน้า การสร้างพารามิเตอร์ Diffie-Hellman สามารถเป็นการคำนวณที่ราคาแพง เพื่อลดการใช้รีซอร์สและเพื่อลดเวลาที่ต้องใช้เพื่อโหลดเซิร์ฟเวอร์ TM1 ควรสร้างคีย์ Diffie-Hellman 2048 บิตไว้ล่วงหน้าและเก็บไว้ในไฟล์ที่จะถูกอ่านเมื่อ TM1 Admin Server เริ่มทำงาน ตำแหน่งคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 1024 บิต ระบุตำแหน่งของคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 1024 บิต พาธแบบเต็มของไฟล์ที่มีคีย์ Diffie-Hellman 1024 บิตที่สร้างไว้ล่วงหน้า การสร้างพารามิเตอร์ Diffie-Hellman สามารถเป็นการคำนวณที่ราคาแพง เพื่อลดการใช้รีซอร์สและเพื่อลดเวลาที่ต้องใช้เพื่อโหลดเซิร์ฟเวอร์ TM1 ควรสร้างคีย์ Diffie-Hellman 1024 บิตไว้ล่วงหน้าและเก็บไว้ในไฟล์ที่จะถูกอ่านเมื่อ TM1 Admin Server เริ่มทำงาน ตำแหน่งคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 512 บิต ระบุตำแหน่งของคีย์ไฟล์ Diffie-Hellman 512 บิต พาธแบบเต็มของไฟล์ที่มีคีย์ Diffie-Hellman 512 บิตที่สร้างไว้ล่วงหน้า การสร้างพารามิเตอร์ Diffie-Hellman สามารถเป็นการคำนวณที่ราคาแพง เพื่อลดการใช้รีซอร์สและเพื่อลดเวลาที่ต้องใช้เพื่อโหลดเซิร์ฟเวอร์ TM1 ควรสร้างคีย์ Diffie-Hellman 512 บิตไว้ล่วงหน้าและเก็บไว้ในไฟล์ที่จะถูกอ่านเมื่อ TM1 Admin Server เริ่มทำงาน ตำหน่งไฟล์ใบรับรอง ระบุตำแหน่งของไฟล์ใบรับรอง พาธแบบเต็มของไฟล์ใบรับรองของ TM1 Admin Server ซึ่งมีคู่ของพับลิก/ไพรเวตคีย์ ตำแหน่งไฟล์การเพิกถอนใบรับรอง ระบุตำแหน่งของไฟล์การเพิกถอนใบรับรอง พาธแบบเต็มของไฟล์การเพิกถอนใบรับรองของ TM1 Admin Server ไฟล์การเพิกถอนใบรับรองจะมีอยู่เฉพาะในเหตุการณ์ที่ใบรับรองถูกยกเลิก เอ็กซ์พอร์ตใบรับรอง TM1 Admin Server หรือไม่? ระบุว่าควรเอ็กซ์พอร์ตใบรับรอง TM1 Admin Server จากที่เก็บใบรับรองของ Windows หรือไม่ ถ้าค่าพารามิเตอร์เป็น true ใบรับรอง TM1 Admin Server จะถูกเอ็กซ์พอร์ตจากที่เก็บใบรับรองของ Windows เมื่อใบรับรองถูกร้องขอโดย TM1 Admin Server คุณยังต้องตั้งค่าพารามิเตอร์ TM1 Admin Server ต่อไปนี้: 'TM1 Admin Server export key ID', 'TM1 Admin Server certificate ID', 'TM1 Admin Server private key password file location', 'TM1 Admin Server password key file location', 'TM1 Admin Server certificate authority file location' สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ใบรับรองการรักษาความปลอดภัยของคุณเองและการเอ็กซ์พอร์ตใบรับรองจากที่เก็บใบรับรองของ Windows โปรดดูที่หัวข้อ การใช้ใบรับรองอิสระ ใน คู่มือการดำเนินการ TM1 TM1 Admin Server export key ID ระบุคีย์เอกลักษณ์ที่ใช้เพื่อเอ็กซ์พอร์ตใบรับรอง TM1 Admin Server จากที่เก็บใบรับรองของ Windows ควรใช้พารามิเตอร์นี้เฉพาะถ้าคุณใช้ที่เก็บใบรับรองเท่านั้น TM1 Admin Server certificate ID ระบุชื่อของหลักเกณฑ์ให้กับผู้ที่ได้รับการออกใบรับรอง TM1 Admin Server TM1 Admin Server private key password file location ระบุตำแหน่งของไฟล์รหัสผ่านไพรเวตคีย์ พาธแบบเต็มของไฟล์ที่มีรหัสผ่านที่ถูกเข้ารหัสสำหรับไพรเวตคีย์ของ TM1 Admin Server TM1 Admin Server password key file location ระบุตำแหน่งของไฟล์คีย์รหัสผ่าน พาธแบบเต็มของไฟล์ที่มีคีย์ที่ใช้เพื่อเข้ารหัสและถอดรหัสรหัสผ่านของไพรเวตคีย์ TM1 Admin Server certificate authority file location ระบุพาธแบบเต็มไปยังไฟล์สิทธิ์ของใบรับรอง TM1 Admin Server IP support ระบุ Internet Protocol(s) ที่ TM1 Admin Server จะสนับสนุน IPv4 IPv6 Dual (IPv4 และ IPv6) ช่วงเวลาของกิจกรรมในหน่วยวินาที ระบุช่วงเวลาในหน่วยวินาทีที่ TM1 Server จะแจ้ง TM1 Admin Server ว่าแอ็คทีฟอยู่ การหมดเวลาการไม่มีกิจกรรมในหน่วยวินาที ระบุช่วงเวลาในหน่วยวินาทีที่อนุญาตให้ TM1 Server ไม่ทำงานก่อนที่จะถูกลบออกจาก TM1 Admin Server TM1 Admin Server Certificate Version ระบุว่าจะใช้เวอร์ชันใดของ TM1 ที่สร้างโดยใบรับรอง SSL โดยดีฟอลต์ จะใช้เวอร์ชันที่มีการเข้ารหัสลับแบบ 1024 บิตของใบรับรองที่สร้างโดย TM1 เปลี่ยนพารามีเตอร์เฉพาะถ้าคุณต้องการใช้เวอร์ชันที่มีการเข้ารหัสลับแบบ 1024 บิตของใบรับรองดีฟอลต์ คุณสามารถใช้เวอร์ชันใหม่กับไคลเอ็นต์ TM1 ทั้งเก่าและใหม่ได้ แต่คุณต้องกำหนดคอนฟิกไคลเอ็นท์นั้นให้ใช้ไฟล์การให้สิทธิ์ใบรับรองใหม่ พารามิเตอร์นี้ใช้ไม่ได้หากคุณกำลังใช้ใบรับรอง SSL ของคุณเอง ค่าที่ถูกต้องคือ: 1 = ใบรับรองการพิสูจน์ตัวตนในการเปิดใช้งานการเข้ารหัสแบบ 1024 บิต ด้วย sha-1 (ค่าดีฟอลต์); 2 = ใบรับรองการพิสูจน์ตัวตนในการเปิดใช้งานการเข้ารหัสแบบ 2048 บิตด้วย sha-256 เริ่มต้น การเริ่มต้น TM1 Admin Server หยุด การหยุด TM1 Admin Server รีจิสเตอร์ การลงทะเบียนเซอร์วิส TM1 Admin Server
TM1 Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ TM1 Server อินสแตนซ์ TM1 Server อินสแตนซ์ TM1 Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอินสแตนซ์ TM1 Server พาธคอนฟิกูเรชัน TM1 Server ระบุพาธไปยังไฟล์คอนฟิกูเรชัน TM1 ไฟล์คอนฟิกูเรชัน TM1 Server คือ tm1s.cfg ซึ่งมีการตั้งค่าคอนฟิกูเรชัน เช่น DataDirectory และ ServerName พาธนี้สามารถเป็นพาธแบบสัมบูรณ์หรือแบบสัมพันธ์ไปยังไดเร็กทอรี bin ของการติดตั้ง IBM Cognos หรือไดเร็กทอรี bin64 ในการติดตั้งแบบ 64 บิต (เช่น C:\\Program Files\\IBM\\Cognos\\TM1\\bin) เริ่มต้น การเริ่มต้น TM1 Server หยุด การหยุด TM1 Server รีจิสเตอร์ การลงทะเบียนเซอร์วิส TM1 Server ยกเลิกการลงทะเบียน การยกเลิกการลงทะเบียนเซอร์วิส TM1 Server
ขนาดไฟล์แนบสูงสุดในหน่วย MB พารามิเตอร์นี้ระบุขนาดสูงสุดของไฟล์แนบที่สามารถอัพโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint ค่าที่เป็น 0 หมายความว่าไม่จำกัดขนาดสูงสุด Tomcat Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ Tomcat แอ็พพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ เว็บแอ็พพลิเคชัน Business Viewpoint รันภายใต้เซิร์ฟเวอร์ Tomcat หมายเลขพอร์ต HTTP/1.1 ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่เซิร์ฟเวอร์ Tomcat รับฟังสำหรับการเชื่อมต่อกับไคลเอ็นต์ หมายเลขพอร์ต SSL HTTP/1.1 ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่เซิร์ฟเวอร์ Tomcat รับฟังสำหรับการเชื่อมต่อ SSL กับไคลเอ็นต์ ใช้พอร์ต SSL ระบุว่าคำร้องขอทั้งหมดที่ส่งไปยังพอร์ตดีฟอลต์ต้องถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ต SSL หมายเลขพอร์ตปิดการทำงาน ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่เซิร์ฟเวอร์ Tomcat รับฟังสำหรับคำร้องขอปิดการทำงาน การหมดเวลาเซสชันในหน่วยนาที ระบุเวลาระหว่างคำร้องขอไคลเอ็นต์ก่อนที่เซิร์ฟเล็ตคอนเทนเนอร์จะใช้เซสชันไม่ได้ ค่าที่เป็น -1 หมายความว่าเซสชันไม่ควรหมดเวลา เริ่มต้น การเริ่มต้น Tomcat หยุด การหยุด Tomcat
Business Viewpoint Repository คุณสมบัติ Business Viewpoint Repository ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บ Business Viewpoint การแจ้งเตือน กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่จัดเตรียมการเข้าถึงแอคเคาต์เมลเซิร์ฟเวอร์ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดค่าแอคเคาต์ที่จะส่งการแจ้งเตือน Reply-To Address ดีฟอลต์ ระบุอีเมลแอดเดรสสำหรับ Reply-To การตั้งค่านี้ระบุอีเมลแอดเดรสของ 'Reply-To' ของข้อความขาออก ใช้อีเมลแอดเดรสที่ถูกต้อง
Business Viewpoint Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์ IBM Cognos Business Viewpoint ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุข้อมูลการเชื่อมต่อสำหรับเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint หลัก โฮสต์เซิร์ฟเวอร์ ระบุชื่อของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint หมายเลขพอร์ตเซิร์ฟเวอร์ ระบุหมายเลขพอร์ต TCP ที่เซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint รับฟังการเชื่อมต่อกับไคลเอ็นต์ Business Viewpoint Client Adapters กำหนดอะแด็ปเตอร์สำหรับ IBM Cognos Business Viewpoint Client ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดค่าอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client อะแด็ปเตอร์ ระบุชนิดของอะแด็ปเตอร์ คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของอะแด็ปเตอร์ใหม่ ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Relational Database Analyst กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Analyst เวอร์ชัน ระบุเวอร์ชันของ IBM Cognos Analyst 8.1 8.3 8.4 8.4.1 10.1 หรือ 10.1.1 ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเพื่อล็อกออนเข้าสู่ IBM Cognos Analyst ต้องใช้หนังสือรับรองผู้ใช้สำหรับ Analyst เวอร์ชัน 7.3 และ 8.1 สำหรับเวอร์ชันล่าสุด ไม่จำเป็นต้องใช้พารามิเตอร์นี้ เนมสเปซ ระบุเนมสเปซของ IBM Cognos Analyst ต้องใช้เนมสเปซสำหรับ Analyst เวอร์ชัน 7.3 และ 8.1 สำหรับเวอร์ชันล่าสุด ไม่จำเป็นต้องใช้พารามิเตอร์นี้ Contributor ก่อนเวอร์ชัน 8.4 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Contributor (Contributor ก่อนเวอร์ชัน 8.4) ตำแหน่งอิมพอร์ตของผู้ใช้ ระบุตำแหน่งที่ผู้ใช้จะอิมพอร์ต e.List, ตารางการเข้าถึง และสิทธิ์ไปยัง Contributor Administration Console (ที่เอ็กซ์พอร์ตจากเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint โดยใช้ Business Viewpoint Client) ตำแหน่งเอ็กซ์พอร์ตของผู้ใช้ ระบุตำแหน่งที่ผู้ใช้จะเอ็กซ์พอร์ต e.List, ตารางการเข้าถึง และสิทธิ์จาก Contributor Administration Console ซึ่งจากนั้นจะถูกเอ็กซ์พอร์ตไปยังเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint โดยใช้ Business Viewpoint Client Contributor เวอร์ชัน 8.4 หรือใหม่กว่า กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Contributor (Contributor เวอร์ชัน 8.4 หรือใหม่กว่า) IBM Cognos dispatcher URI ระบุ IBM Cognos dispatcher URI IBM Cognos namespace ID ระบุเนมสเปซของ IBM Cognos ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน IBM Cognos ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของ IBM Cognos คอนโทรลเลอร์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Controller ชื่อผู้ใช้คอนโทรลเลอร์ ระบุชื่อผู้ใช้คอนโทรลเลอร์ ระบุพารามิเตอร์ฐานข้อมูล Controller IBM InfoSphere Master Data Management Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ที่คุณใช้เพื่อย้ายข้อมูลระหว่าง IBM InfoSphere Master Data Management Server และ IBM Cognos Business Viewpoint สตริงการเชื่อมต่อ IBM InfoSphere Master Data Management Server Database ตำแหน่งที่ข้อมูลถูกเก็บเมื่อถูกโหลดลงใน IBM Cognos Business Viewpoint Studio สตริงการเชื่อมต่อ IBM InfoSphere Master Data Management Server Staging Database ตำแหน่งที่ข้อมูลถูกเขียนเมื่ออัพเดตข้อมูลจาก IBM Cognos Business Viewpoint Studio ไปยัง IBM InfoSphere Master Data Management Server TM1 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client TM1 เวอร์ชัน TM1 ระบุเวอร์ชันของ IBM Cognos TM1 9.4 9.5 หรือใหม่กว่า ชื่อเซิร์ฟเวอร์ TM1 ระบุชื่อของเซิร์ฟเวอร์ TM1 โฮสต์ TM1 Admin ระบุชื่อของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ TM1 Admin ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน TM1 ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านสำหรับเซิร์ฟเวอร์ TM1 ที่ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบดั้งเดิมของ TM1 URI เกตเวย์ IBM Cognos ระบุ URI เกตเวย์ของ IBM Cognos สำหรับการพิสูจน์ตัวตน CAM เมื่อต้องการใช้การรักษาความปลอดภัยของ Cognos Access Manager (CAM) สำหรับ IBM Cognos TM1 9.4 หรือสูงกว่า ให้ป้อนข้อมูลเกตเวย์ กล่องนี้เป็นทางเลือก ถ้าคุณเว้นว่างไว้ คุณจะได้รับพร้อมต์เพื่อให้ป้อน URI เกตเวย์เมื่อคุณเริ่มต้นอะแด็ปเตอร์ TM1 IBM Cognos namespace ID ระบุเนมสเปซของ IBM Cognos สำหรับการพิสูจน์ตัวตน CAM เมื่อต้องการใช้การรักษาความปลอดภัยของ Cognos Access Manager (CAM) สำหรับ IBM Cognos TM1 9.4 หรือสูงกว่า ให้ป้อนชื่อของเนมสเปซ กล่องนี้เป็นทางเลือก ถ้าคุณเว้นว่างไว้ คุณจะได้รับพร้อมต์เพื่อให้ป้อนเนมสเปซเมื่อคุณเริ่มต้นอะแด็ปเตอร์ TM1 ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน IBM Cognos ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของ IBM Cognos สำหรับการพิสูจน์ตัวตน CAM เมื่อต้องการใช้การรักษาความปลอดภัย Cognos Access Manager (CAM) สำหรับ IBM Cognos TM1 9.4 หรือสูงกว่า ให้ป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผู้ใช้ทั้งหมดจะใช้ กล่องนี้เป็นทางเลือก ถ้าคุณเว้นว่างไว้ คุณจะได้รับพร้อมต์เพื่อให้ป้อนชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านเมื่อคุณเริ่มต้นอะแด็ปเตอร์ TM1 ไฟล์ CSV กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ไฟล์ CSV ของ Business Viewpoint Client ตำแหน่งไฟล์ CSV ระบุไดเร็กทอรีบนระบบไฟล์ที่คุณต้องการเก็บไฟล์ CSV ไดเร็กทอรีใช้เพื่อเอ็กซ์พอร์ตและอิมพอร์ตไฟล์ CSV กับเซิร์ฟเวอร์ Business Viewpoint ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีไดเร็กทอรีอยู่ Transformer กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับอะแด็ปเตอร์ Business Viewpoint Client Transformer
การพิสูจน์ตัวตน กำหนดคุณสมบัติทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ตัวตนที่ใช้กับผู้ใช้ทั้งหมด ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อกำหนดสภาวะแวดล้อมการรักษาความปลอดภัยที่ผู้ใช้ทั้งหมดแบ่งใช้ โดยไม่คำนึงถึงเอกลักษณ์ บทบาท หรือผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตนของผู้ใช้ การหมดเวลาการไม่มีกิจกรรมในหน่วยวินาที ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่เซสชันของผู้ใช้ไม่แอ็คทีฟก่อนที่จะต้องพิสูจน์ตัวตนอีกครั้ง ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อล็อกออฟผู้ใช้โดยอัตโนมัติหลังจากกำหนดช่วงเวลาที่ไม่มีกิจกรรมแล้ว ต้องแน่ใจว่าช่วงเวลาเหมาะสมสำหรับทั้งการรักษาความปลอดภัยและความสะดวก อนุญาตให้แบ่งใช้ข้อมูลเซสชันระหว่างไคลเอ็นต์แอ็พพลิเคชันหรือไม่? ระบุว่าไคลเอ็นต์แอ็พพลิเคชันสามารถแบ่งใช้ข้อมูลเซสชันกับไคลเอ็นต์อื่นบนเครื่องเดียวกันหรือไม่ เมื่อต้องการเปิดใช้งาน single signon ระหว่างหลายไคลเอ็นต์บนเครื่องเดียวกัน ข้อมูลเซสชันต้องถูกแบ่งใช้ระหว่างแอ็พพลิเคชัน อย่างไรก็ตาม สำหรับเหตุผลด้านความปลอดภัย อาจพิจารณาไม่อนุญาตให้ใช้ single signon พารามิเตอร์นี้ไม่มีผลกระทบกับการพิสูจน์ตัวตน windows แบบรวม จำกัดการเข้าถึงสำหรับสมาชิกของเนมสเปซที่มีอยู่แล้วภายในหรือไม่? พารามิเตอร์นี้อนุญาตให้ผู้ดูแลระบบจำกัดการเข้าถึงของผู้ใช้เพื่อเข้าถึงแอ็พพลิเคชัน เมื่อเปิดใช้งานพารามิเตอร์นี้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอ็พพลิเคชันได้เฉพาะถ้าผู้ใช้เป็นสมาชิกของอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มหรือหนึ่งบทบาทภายในเนมสเปซที่มีอยู่แล้วภายใน (ไม่รวมกลุ่ม "All Authenticated Users") Automatically renew trusted credential ระบุว่าหนังสือรับรองที่เชื่อถือได้ของผู้ใช้จะถูก renew ใหม่โดยอัตโนมัติหลังจากล็อกออน คุณสามารถปิดคุณสมบัตินี้ ตั้งเป็นเนมสเปซไพรมารีเท่านั้น หรือ ตั้งเป็นเนมสเปซทั้งหมด ปิด เนมสเปซหลักเท่านั้น เนมสเปซทั้งหมด การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่า และข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า เนมสเปซ ระบุชนิดของการรักษาความปลอดภัยที่ใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของเนมสเปซในหน้าต่าง Explorer Active Directory กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนูญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเนมสเปซ Active Directory สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตนที่มีอยู่ของ Active Directory ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้เพื่อระบุชื่อโฮสต์และพอร์ตสำหรับเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี: host:port ตัวอย่างเช่น localhost:389 ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ถ้าคุณใช้ชื่อแบบเต็มสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ DNS ของคุณถูกกำหนดให้แปลงชื่อ ถ้าคุณต้องการใช้ SSL เป็นพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อกับ Active Directory Server ชื่อเซิร์ฟเวอร์ต้องตรงกับชื่อที่ระบุไว้ในใบรับรองและพอร์ตของเซิร์ฟเวอร์ต้องเป็นพอร์ต SSL การเชื่อมหนังสือรับรอง ระบุหนังสือรับรอง (ID ผู้ใช้และรหัสผ่าน) ที่ใช้เพื่อเชื่อม Active Directory Server เพื่อหารายละเอียดของสาเหตุของความล้มเหลวในการพิสูจน์ตัวตนเมื่อการพิสูจน์ตัวตนล้มเหลว ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ Active Directory Server ที่มีสิทธิ์ค้นหาและอ่านผู้ใช้ของ Active Directory Server Application Tier Components sAMAccountName ระบุ sAMAccountName ของผู้ใช้ที่รัน Application Tier Components ค่านี้ต้องถูกกำหนดค่าถ้าคุณกำลังใช้การพิสูจน์ตัวตน Kerberos ที่มีการมอบหมายที่จำกัดและติดตั้ง IBM Cognos BI บนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows DQM Service Principal Name ระบุ DQM Service Principal Name แบบเต็มที่เหมือนกับที่อยู่ในไฟล์คีย์แท็บ ค่านี้ต้องถูกตั้งค่าไว้หากคุณใช้ Kerberos Authentication ด้วย Single Sign On (Active Directory) สำหรับ Dynamic Query Mode และคุณไม่ได้สร้างคอนฟิกูเรชัน Kerberos Login Module ไว้ DQM จะสร้างคอนฟิกูเรชันโดยใช้ค่านี้ และชื่อและตำแหน่งดีฟอลต์สำหรับไฟล์คีย์แท็บ - configuration\ibmcognosba.keytab การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคุณสมบัติสำหรับรายการผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม Cognos กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการพิสูจน์ตัวตนที่ใช้กับผู้ใช้ทั้งหมด ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อควบคุมการเข้าถึงรีซอร์สโดยยึดตามเอกลักษณ์ของผู้ใช้ ห้ามลบเนมสเปซ ไม่เช่นนั้นคุณจะไม่สามารถบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณได้ เมื่อต้องการเรียกคืนเนมสเปซ ให้คลิกขวาที่ Authentication คลิก New, Namespace Type เลือก Cognos Namespace จากรายการของชนิดที่พร้อมใช้งานและระบุชื่อ อนุญาตการเข้าถึงแบบไม่ระบุชื่อหรือไม่? ระบุว่าอนุญาตการเข้าถึงแบบไม่ระบุชื่อหรือไม่ โดยดีฟอลต์ กระบวนการการพิสูจน์ตัวตนแบบไม่ระบุชื่อไม่ต้องการให้ดีฟอลต์ระบุหนังสือรับรองการล็อกออน การพิสูจน์ตัวตนแบบไม่ระบุชื่อใช้แอคเคาต์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่ผู้ใช้ที่ไม่ระบุชื่อทั้งหมดจะล็อกอิน ปิดใช้งานการใช้ Content Manager หรือไม่? LDAP - ค่าดีฟอลต์ทั่วไป กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP ที่มีอยู่ LDAP เชื่อม DN และรหัสผ่านของผู้ใช้ ระบุหนังสือรับรองที่ใช้สำหรับการเชื่อมเซิร์ฟเวอร์ LDAP เมื่อดำเนินการค้นหาโดยใช้คุณสมบัติ lookup property หรือเมื่อดำเนินการทั้งหมดโดยใช้การแม็พเอกลักษณ์ภายนอก ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ LDAP ที่มีสิทธิ์อ่านและค้นหาผู้ใช้สาขาของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พโฟลเดอร์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พโฟลเดอร์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการขององค์กร การแม็พกลุ่ม (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พกลุ่มขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของกลุ่ม การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม LDAP - ค่าดีฟอลต์สำหรับ Active Directory กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP ที่มีอยู่ LDAP เชื่อม DN และรหัสผ่านของผู้ใช้ ระบุหนังสือรับรองที่ใช้สำหรับการเชื่อมเซิร์ฟเวอร์ LDAP เมื่อดำเนินการค้นหาโดยใช้คุณสมบัติ lookup property หรือเมื่อดำเนินการทั้งหมดโดยใช้การแม็พเอกลักษณ์ภายนอก ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ LDAP ที่มีสิทธิ์อ่านและค้นหาผู้ใช้สาขาของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พโฟลเดอร์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พโฟลเดอร์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการขององค์กร การแม็พกลุ่ม (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พกลุ่มขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของกลุ่ม การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม LDAP - ค่าดีฟอลต์สำหรับ IBM Tivoli กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP ที่มีอยู่ LDAP เชื่อม DN และรหัสผ่านของผู้ใช้ ระบุหนังสือรับรองที่ใช้สำหรับการเชื่อมเซิร์ฟเวอร์ LDAP เมื่อดำเนินการค้นหาโดยใช้คุณสมบัติ lookup หรือเมื่อดำเนินการทั้งหมดโดยใช้การแม็พเอกลักษณ์ภายนอก ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ LDAP ที่มีสิทธิ์อ่านและค้นหาผู้ใช้สาขาของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พโฟลเดอร์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พโฟลเดอร์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการขององค์กร การแม็พกลุ่ม (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พกลุ่มขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของกลุ่ม การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม LDAP - ค่าดีฟอลต์สำหรับ Oracle Directory Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ LDAP ที่มีอยู่ LDAP เชื่อม DN และรหัสผ่านของผู้ใช้ ระบุหนังสือรับรองที่ใช้สำหรับการเชื่อมเซิร์ฟเวอร์ LDAP เมื่อดำเนินการค้นหาโดยใช้คุณสมบัติ lookup property หรือเมื่อดำเนินการทั้งหมดโดยใช้การแม็พเอกลักษณ์ภายนอก ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ LDAP ที่มีสิทธิ์อ่านและค้นหาผู้ใช้สาขาของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พโฟลเดอร์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พโฟลเดอร์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการขององค์กร การแม็พกลุ่ม (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อตั้งค่าการแม็พกลุ่มขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของกลุ่ม การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม IBMid กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดค่าเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า W3ID กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า Google กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ ต้องมีรีซอร์สภายนอกนี้อยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า ปิง กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า SalesForce กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า ADFS กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ ต้องมีรีซอร์สภายนอกนี้อยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า IBM Cloud Identity กำหนดกลุม่ของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดค่าติดตั้งแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "ชื่อ" สอดคล้องกับชื่อคุณสมบัติที่ตั้งค่าในแอคเคาต์ในขณะที่ "ค่า" สอดคล้องกับชื่อข้อร้องเรียนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกค่าติดตั้งการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่า และข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า OKTA กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า Azure AD กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า MS Identity กำหนดกลุม่ของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID connect ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดค่าติดตั้งแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "ชื่อ" สอดคล้องกับชื่อคุณสมบัติที่ตั้งค่าในแอคเคาต์ในขณะที่ "ค่า" สอดคล้องกับชื่อข้อร้องเรียนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกค่าติดตั้งการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่า และข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า Site Minder กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect ระบุผู้ออกการเรียกคืน OpenID ค่าเป็นดังนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname> ระบุจุดปลายโทเค็น OpenID Connect โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname:port>/affwebservices/CASSO/oidc/token ระบุจุดปลายการให้สิทธิ์ OpenID Connect โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname:port>/affwebservices/CASSO/oidc/authorize การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุคลาสอ็อบเจ็กต์ LDAP ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า ทั่วไป กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect คอนฟิกูเรชัน Discovery endpoint คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชัน discovery endpoint ใช้กลุ่มคุณสมบัตินี้ ถ้า Identity Provider ของคุณสนับสนุนเอกสาร discovery และถ้าคุณได้ตั้งค่า namespace ให้ใช้เอกสาร discovery คอนฟิกูเรชัน Non-discovery endpoint คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชัน non-discovery endpoint ใช้กลุ่มคุณสมบัตินี้ถ้า Identity Provider ของคุณไม่สนับสนุนเอกสาร discovery และถ้าคุณได้ตั้งค่า namespace ไม่ให้ใช้ discovery ระบุ OpenID Connect token endpoint โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<hostname:port>/<path> ระบุ OpenID Connect authorization endpoint โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<hostname:port>/<path> คอนฟิกูเรชันแอ็พพลิเคชัน คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันแอ็พพลิเคชัน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอ็พพลิเคชันของ Identity Provider ของคุณ การพิสูจน์ตัวตน Identity provider คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันการพิสูจน์ตัวตน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดลักษณะการทำงาน Identity Provider ของคุณเมื่อเรียก authorize และ token endpoints การพิสูจน์ตัวตนจุดปลายโทเค็น คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อระบุวิธีการพิสูจน์ตัวตนกับผู้ให้บริการเอกลักษณ์เมื่อร้องขอจุดปลายโทเค็น ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อกำหนดคอนฟิกพฤติกรรมผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของคุณเมื่อร้องขอจุดปลายโทเค็น ข้อมูลลับของไคลเอ็นต์ การตรวจสอบลายเซ็นโทเค็น คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันการตรวจสอบลายเซ็นโทเค็น ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าวิธีที่ namespace provider ค้นหาคีย์ที่ถูกใช้เพื่อตรวจสอบลายเซ็น id_token ระบุ OpenID Connect endpoint สำหรับการเรียกคีย์การลงชื่อ JWT ให้รหัสผ่าน คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันโฟลว์การให้รหัสผ่าน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดลักษณะการทำงาน Identity Provider ของคุณเมื่อเรียกโฟลว์การให้รหัสผ่าน ข้อมูลประจำตัวการกำหนดตารางเวลา คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันข้อมูลประจำตัวการกำหนดตารางเวลา ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดคอนฟิกวิธีที่ namespace provider ทำงานเมื่อสร้างข้อมูลประจำตัวที่ไว้วางใจสำหรับภารกิจที่กำหนดการไว้ การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุการเคลม OIDC ของคุณสำหรับรายการของผู้ใช้ การเข้ารหัสการเคลมแอคเคาต์ ระบุว่าการเคลมใน id_token เป็น URL ที่เข้ารหัสหรือไม่ ตั้งค่านี้เป็น URL ที่เข้ารหัส ถ้าการเคลมใน id_token เป็น URL ที่เข้ารหัสหรือไม่ ตั้งค่านี้เป็น ไม่เข้ารหัส ถ้าการเคลมใน id_token ไม่ถูกเข้ารหัส URL ที่เข้ารหัส ไม่ได้เข้ารหัส หมายเลขโทรศัพท์ของธุรกิจ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "businessPhone" สำหรับแอคเคาต์ โลแคลของเนื้อหา ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "contentLocale" สำหรับแอคเคาต์ คำอธิบาย ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "description" สำหรับแอคเคาต์ อีเมล ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "email" สำหรับแอคเคาต์ โทรสาร/โทรศัพท์ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "faxPhone" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อตัว ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "givenName" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์ที่บ้าน ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "homePhone" สำหรับแอคเคาต์ สมาชิกของ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "memberOf" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์มือถือ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "mobilePhone" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "name" สำหรับแอคเคาต์ โทรศัพท์เพจเจอร์ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "pagerPhone" สำหรับแอคเคาต์ ที่อยู่รหัสไปรษณีย์ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "postalAddress" สำหรับแอคเคาต์ โลแคลของผลิตภัณฑ์ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "productLocale" สำหรับแอคเคาต์ นามสกุล ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "surname" สำหรับแอคเคาต์ ชื่อผู้ใช้ ระบุการเคลม OIDC ที่ใช้สำหรับคุณสมบัติ "userName" สำหรับแอคเคาต์ ใช้ชุดของคุณสมบัติที่กำหนดเองนี้เพื่อกำหนดข้อมูลแอคเคาต์เพิ่มเติม ฟิลด์ "name" สอดคล้องกับชุดชื่อคุณสมบัติในแอคเคาต์ในขณะที่ "value" สอดคล้องกับชื่อ ผู้เรียกคืนใน id_token IBMid กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy W3ID กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy Google กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy ปิง กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy SalesForce กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy ADFS กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy IBM Cloud Identity กำหนดกลุม่ของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy OKTA กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดค่าเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy MS Identity กำหนดกลุม่ของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของ OpenID connect ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy Azure AD กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy Site Minder กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกต้องมีอยู่ในสภาวะแวดล้อมของคุณและต้องถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้การพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy ระบุผู้ออกการเรียกคืน OpenID ค่าเป็นดังนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname> ระบุจุดปลายโทเค็น OpenID Connect โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname:port>/affwebservices/CASSO/oidc/token ระบุจุดปลายการให้สิทธิ์ OpenID Connect โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<SiteMinder fully qualified hostname:port>/affwebservices/CASSO/oidc/authorize ทั่วไป กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการเอกลักษณ์ OpenID Connect สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้ให้บริการเชื่อมต่อ OpenID ที่มีอยู่ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน OpenID Connect Authentication Proxy คอนฟิกูเรชัน Discovery endpoint คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชัน discovery endpoint ใช้กลุ่มคุณสมบัตินี้ ถ้า Identity Provider ของคุณสนับสนุนเอกสาร discovery และถ้าคุณได้ตั้งค่า namespace ให้ใช้เอกสาร discovery คอนฟิกูเรชัน Non-discovery endpoint คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชัน non-discovery endpoint ใช้กลุ่มคุณสมบัตินี้ถ้า Identity Provider ของคุณไม่สนับสนุนเอกสาร discovery และถ้าคุณได้ตั้งค่า namespace ไม่ให้ใช้ discovery ระบุ OpenID Connect token endpoint โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<hostname:port>/<path> ระบุ OpenID Connect authorization endpoint โดยใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: https://<hostname:port>/<path> คอนฟิกูเรชันแอ็พพลิเคชัน คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันแอ็พพลิเคชัน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอ็พพลิเคชันของ Identity Provider ของคุณ การพิสูจน์ตัวตน Identity provider คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันการพิสูจน์ตัวตน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดลักษณะการทำงาน Identity Provider ของคุณเมื่อเรียก authorize และ token endpoints การพิสูจน์ตัวตนจุดปลายโทเค็น คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อระบุวิธีการพิสูจน์ตัวตนกับผู้ให้บริการเอกลักษณ์เมื่อร้องขอจุดปลายโทเค็น ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อกำหนดคอนฟิกพฤติกรรมผู้ให้บริการเอกลักษณ์ของคุณเมื่อร้องขอจุดปลายโทเค็น ข้อมูลลับของไคลเอ็นต์ การตรวจสอบลายเซ็นโทเค็น คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันการตรวจสอบลายเซ็นโทเค็น ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าวิธีที่ namespace provider ค้นหาคีย์ที่ถูกใช้เพื่อตรวจสอบลายเซ็น id_token ระบุ OpenID Connect endpoint สำหรับการเรียกคีย์การลงชื่อ JWT ให้รหัสผ่าน คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันโฟลว์การให้รหัสผ่าน ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดลักษณะการทำงาน Identity Provider ของคุณเมื่อเรียกโฟลว์การให้รหัสผ่าน ข้อมูลประจำตัวการกำหนดตารางเวลา คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกูเรชันข้อมูลประจำตัวการกำหนดตารางเวลา ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าวิธีที่ namespace provider ทำงานเมื่อสร้างข้อมูลประจำตัวที่ไว้วางใจสำหรับภารกิจที่กำหนดการไว้ SAP กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้คุณสมบัติใช้เซิร์ฟเวอร์ SAP สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ SAP ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ไคลเอ็นต์ล็อกออน SAP ระบุชื่อของไคลเอ็นต์ล็อกออน SAP ระบุหมายเลขไคลเอ็นต์ SAP โฮสต์ ระบุชื่อโฮสต์ของเซิร์ฟเวอร์ SAP ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่รับอินสแตนซ์ SAP หนึ่งอินสแตนซ์หรือมากกว่า หมายเลขระบบ SAP ระบุหมายเลขระบบ SAP หมายเลขต้องเป็นจำนวนเต็มระหว่าง 0 และ 99 SAP BW Server Code Page ระบุโค้ดเพจของเซิร์ฟเวอร์ SAP BW ที่ใช้เพื่อแปลงหนังสือรับรองผู้ใช้เป็นการเข้ารหัสที่ถูกต้อง ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อแปลง ID ผู้ใช้และรหัสผ่านจากการเข้ารหัส UTF8 เป็นการเข้ารหัสที่เซิร์ฟเวอร์ SAP ใช้ เมื่อต้องการเปิดใช้งาน single signon ให้ระบุโค้ดเพจ SAP เดียวกันในพอร์ทัลบนหน้าแหล่งข้อมูลสำหรับสตริงการเชื่อมต่อ SAP BW SAP CP 1100: Western European (ISO 8859-1: Latin-1) SAP CP 1160: Western European (Windows-1252: Latin-1) SAP CP 1401: Central and Eastern European (ISO 8859-2: Latin-2) SAP CP 1404: Central and Eastern European (Windows-1250: Latin-2) SAP CP 1610: Turkish (ISO 8859-9) SAP CP 1614: Turkish (Windows-1254) SAP CP 1700: Greek (ISO 8859-7) SAP CP 1704: Greek (Windows-1253) SAP CP 1800: Hebrew (ISO 8859-8) SAP CP 8000: Japanese (Shift-JIS) SAP CP 8300: Traditional Chinese (Big5) SAP CP 8400: Simplified Chinese (GB2312) SAP CP 8500: Korean (KSC5601) SAP CP 8600: Thai (Windows-874) SAP CP 4110: Unicode (UTF-8) SAP CP 4102: Unicode (UTF-16 Big Endian) SAP CP 4103: Unicode (UTF-16 Little Endian) การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดค่าการตั้งค่าการใช้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่า และข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า IBM Cognos Series 7 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเนมสเปซ IBM Cognos Series 7 ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงซอร์สการพิสูจน์ตัวตน IBM Cognos Series 7 ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณและถูกกำหนดค่าเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ชื่อเนมสเปซ ระบุชื่อของเนมสเปซ IBM Cognos Series 7 ต้องแน่ใจว่าเนมสเปซพร้อมใช้งาน ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่ต้องสร้างการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี ผลิตภัณฑ์ใช้ค่านี้เมื่อเชื่อมหรือเชื่อมกับเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีอีกครั้ง ค่าที่เป็น 0 หมายความว่าการหมดเวลาถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์การเชื่อมต่อเครือข่าย ค่าดีฟอลต์ (10) จะตั้งจำนวนวินาทีที่ผู้ให้บริการ Series7 รอให้การดำเนินการเชื่อมเสร็จสมบูรณ์ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุการเข้ารหัสข้อมูลที่เก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี LDAP ถ้าตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็นการเข้ารหัสอื่นที่ไม่ใช่ UTF-8 ดังนั้นจะดำเนินการแปลงข้อมูลจากการเข้ารหัสที่ระบุไว้ ค่าการเช้ารหัสต้องเป็นไปตามข้อมูลจำเพาะชุดอักขระ IANA (RFC 1700) หรือ MIME ตัวอย่างเช่น windows-1252, iso-8859-1, iso-8859-15, Shift_JIS, utf-8 เป็นต้น ถ้าเวอร์ชันของเนมสเปซ Series 7 เป็นเวอร์ชัน 16.0 หรือสูงกว่า ดังนั้นต้องตั้งค่านี้เป็น UTF-8 ถ้าเวอร์ชันของเนมสเปซ Series 7 เป็น 15.2 หรือต่ำกว่า ดังนั้นต้องตั้งค่านี้เป็นการเข้ารหัสของระบบที่ใช้เพื่ออัพเดตข้อมูล Access Manager เมื่อต้องการตรวจสอบเวอร์ชันของเนมสเปซ ให้เรียกทำงาน Series 7 Access Manager - เครื่องมือผู้ดูแลระบบ ล็อกออนเข้าสู่เนมสเปซที่เหมาะสม คลิกขวาที่ชื่อเนมสเปซ และเลือกคุณสมบัติ การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การตั้งค่าคุกกี้ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ใช้ single sign-on ระหว่างผลิตภัณฑ์ IBM Cognos Series 7 และ IBM Cognos ตั้งค่ากลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่ออนุญาตให้ผู้ใช้เข้าถึงหลายผลิตภัณฑ์ของ IBM Cognos โดยไม่ต้องป้อนข้อมูลการพิสูจน์ตัวตนใหม่ ค่าคุณสมบัติเหล่านี้ต้องตรงกับการตั้งค่าคุกกี้ที่คุณระบุไว้สำหรับการติดตั้ง Series 7 ของคุณ SiteMinder กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงการติดตั้ง CA SiteMinder สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงการติดตั้ง CA SiteMinder ที่มีอยู่ เอเจนต์ SiteMinder กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลเอเจนต์ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อระบุข้อมูลเฉพาะสำหรับเอเจนต์ SiteMinder ชื่อเอเจนต์ ระบุชื่อเอเจนต์ที่ลงทะเบียนไว้กับ Policy Server คุณสมบัตินี้คำนึงถึงขนาดตัวพิมพ์ Shared secret ระบุ shared secret ที่ลงทะเบียนไว้กับ Policy Server สำหรับเอเจนต์นี้ คุณสมบัตินี้คำนึงถึงขนาดตัวพิมพ์ SiteMinder Policy Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงรายการของ SiteMinder Policy Servers สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงพูลของ SiteMinder Policy Servers ที่มีอยู่ เปิดใช้งานโหมด Failover หรือไม่? ระบุว่าจะใช้ fail over หรือไม่ ถ้าตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true เมื่อการเชื่อมต่อล้มเหลว จะมีการสร้างการเชื่อมต่อใหม่ไปยังรายการของเซิร์ฟเวอร์ในลำดับที่ระบุไว้ ตั้งค่านี้เป็น false เพื่อเข้าถึง Policy Servers ในคอนฟิกูเรชันแบบ round-robin SiteMinder Policy Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อระบุข้อมูลเฉพาะสำหรับ SiteMinder Policy Server ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึง SiteMinder Policy Server ที่มีอยู่ SiteMinder Policy Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อระบุข้อมูลเฉพาะสำหรับ SiteMinder Policy Server ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึง SiteMinder Policy Server ที่มีอยู่ โฮสต์ ระบุชื่อโฮสต์ของ Policy Server ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ถ้าคุณใช้ชื่อแบบเต็มสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ DNS ของคุณถูกกำหนดให้แปลงชื่อ หรือใช้ IP แอดเดรส จำนวนการเชื่อมต่อที่น้อยที่สุด ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อ TCP ที่น้อยที่สุด ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุจำนวนเริ่มต้นของการเชื่อมต่อ TCP จำนวนการเชื่อมต่อที่มากที่สุด ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อ TCP ที่มากที่สุด ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุจำนวนของการเชื่อมต่อ TCP ที่มากที่สุด จำนวนของการเพิ่มการเชื่อมต่อ ระบุการเพิ่มที่จำนวนของการเชื่อมต่อ TCP จะเพิ่มขึ้น ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุจำนวนของการเชื่อมต่อ TCP ที่จะถูกเพิ่ม เมื่อจำเป็น การหมดเวลาคำร้องขอในหน่วยวินาที ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่เอเจนต์รอรับการตอบสนองจาก Policy Server ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุจำนวนวินาทีจนถึงเวลาที่จะระบุว่าคุณสมบัติไม่สามารถเข้าถึง Policy Server ได้ พอร์ตการพิสูจน์ตัวตน ระบุพอร์ตการพิสูจน์ตัวตนของ SiteMinder Policy Server ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุพอร์ตการพิสูจน์ตัวตนที่ Policy Server ใช้เพื่อรับฟังการเชื่อมต่อกับเอเจนต์ พอร์ตการให้สิทธิ์ ระบุพอร์ตการให้สิทธิ์ของ SiteMinder Policy Server ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุพอร์ตการให้สิทธิ์ที่ Policy Server ใช้เพื่อรับฟังการเชื่อมต่อกับเอเจนต์ พอร์ต Accounting ระบุพอร์ต accounting ของ SiteMinder Policy Server ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุพอร์ต accounting ที่ Policy Server ใช้เพื่อรับฟังการเชื่อมต่อกับเอเจนต์ ไดเร็กทอรีผู้ใช้ กำหนดรายการของการแม็พระหว่างไดเร็กทอรีผู้ใช้ SiteMinder และเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตน ชื่อต้องตรงกับชื่อของไดเร็กทอรีผู้ใช้ที่ระบุไว้ใน SiteMinder Policy Server ไดเร็กทอรีผู้ใช้ SiteMinder ระบุชื่อไดเร็กทอรีผู้ใช้ที่ระบุไว้ใน SiteMinder Policy Server ใช้รายการนี้เพื่อระบุการแม็พระหว่างไดเร็กทอรีผู้ใช้ SiteMinder และเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตน ชื่อต้องตรงกับชื่อที่ระบุไว้สำหรับไดเร็กทอรีผู้ใช้ใน SiteMinder Policy Server การอ้างอิง ID เนมสเปซ ระบุการอ้างอิงถึงตัวบ่งชี้เฉพาะสำหรับเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตน ใช้การอ้างอิงเนมสเปซเพื่อระบุเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตนโดยเฉพาะ Custom Java Provider กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์ใช้ผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตน Java ที่กำหนดเองสำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ตั้งค่าสำหรับกลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตน Java ที่มีอยู่ของคุณ รีซอร์สภายนอกนี้ต้องมีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ และถูกกำหนดคอนฟิกเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ชื่อคลาส Java ระบุชื่อคลาส Java ของผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตนเพื่อใช้สำหรับการพิสูจน์ตัวตน ตั้งค่าของคุณสมบัตินี้เป็นชื่อของชื่อคลาส Java ของคุณ คลาสนี้และส่วนที่อ้างถึงต้องอยู่ใน Java CLASSPATH การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า RACF กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้ผลิตภัณฑ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ RACF สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ RACF ที่มีอยู่ ระบุชื่อที่ใช้แยกความแตกต่างฐานของเซิร์ฟเวอร์ RACF เปิดใช้งานการแม็พเอกลักษณ์ ระบุว่าต้องการใช้การแม็พเอกลักษณ์สำหรับการพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้หรือไม่ การเชื่อมหนังสือรับรอง ระบุหนังสือรับรองที่ใช้สำหรับการเชื่อมกับเซิร์ฟเวอร์ RACF เมื่อดำเนินการค้นหาหรือเมื่อดำเนินการทั้งหมดโดยใช้การแม็พเอกลักษณ์ ค่านี้สอดคล้องกับผู้ใช้ RACF ที่มีสิทธิ์อ่านและค้นหาผู้ใช้สาขาของเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรี RACF เปิดใช้งาน SSL หรือไม่? ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ RACF ต้องการการสื่อสาร SSL ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุว่าควรใช้ SSL เมื่อสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์ RACF ค่าจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมของคุณ เนื่องจากเป็นกฎทั่วไป ค่าที่น้อยที่สุดสำหรับการตั้งค่านี้ควรมากกว่าจำนวนที่มากที่สุดของกลุ่มหรือผู้ใช้บวกด้วย 100 เมื่อถึงขีดจำกัดของขนาดเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีจะหยุดการค้นหา ค่าดีฟอลต์ที่เป็น -1 หมายความว่าจะใช้ค่าบนเซิร์ฟเวอร์ RACF ผลิตภัณฑ์ใช้ค่านี้เมื่อร้องขอการพิสูจน์ตัวตนจากเนมสเปซบนเซิร์ฟเวอร์ไดเร็กทอรีของคุณ ค่าจะขึ้นอยู่กับสภาวะแวดล้อมการสร้างรายงานของคุณ ถ้าเกินช่วงเวลา การค้นหาจะหมดเวลา ค่าดีฟอลต์ที่เป็น -1 หมายความว่าจะใช้ค่าบนเซิร์ฟเวอร์ RACF การให้เช่าหลายระดับ คุณสมบัติกลุ่มที่ถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกการตั้งค่าการให้เช่าแบบหลายระดับ ใช้คุณสมบัติกลุ่มนี้เพื่อระบุวิธีการระบุผู้เช่าและข้อมูลชุดการโยงผู้เช่า การแม็พแอคเคาต์ (ขั้นสูง) กลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อกำหนดการตั้งค่าแอคเคาต์ขั้นสูง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าการแม็พขึ้นสูงของคุณสำหรับโปรไฟล์ผู้ใช้ Base segment DATA ระบุคุณสมบัติของแอคเคาต์ที่จะถูกแม็พกับฟิลด์ RACF Base Segment, "DATA" ไม่มี หมายเลขโทรศัพท์ของธุรกิจ อีเมล โทรศัพท์ โทรสาร ชื่อตัว โทรศัพท์ที่บ้าน โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์เพจเจอร์ ที่อยู่รหัสไปรษณีย์ นามสกุล TSO segment USERDATA ระบุคุณสมบัติของแอคเคาต์ที่จะถูกแม็พกับฟิลด์ RACF TSO Segment, "USERDATA" ไม่มี หมายเลขโทรศัพท์ของธุรกิจ อีเมล โทรศัพท์ โทรสาร ชื่อตัว โทรศัพท์ที่บ้าน โทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์เพจเจอร์ ที่อยู่รหัสไปรษณีย์ นามสกุล การเข้ารหัสลับ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่เปิดใช้งานการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างคอมโพเนนต์ของผลิตภัณฑ์และการเข้ารหัสข้อมูล เมื่อต้องการใช้ผู้ให้บริการการเข้ารหัสลับที่มีอยู่แล้วในสภาวะแวดล้อมของคุณ คุณต้องลบผู้ให้บริการดีฟอลต์ออก คุณสามารถใช้ได้ทีละหนึ่งผู้ให้บริการกาเข้ารหัสลับ คลิกขวาที่ Cryptography คลิก New แล้วคลิก Provider เพื่อใช้ผู้ให้บริการการเข้ารหัสลับอื่น หลังจากที่คุณเลือกผู้ให้บริการแล้ว คุณสามารถใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อป้องกันข้อมูลในระบบของคุณจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต การสอดคล้องตามมาตรฐาน ระบุมาตรฐานการเข้ารหัสลับที่ IBM Cognos ควรบังคับใช้ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุมาตรฐานการเข้ารหัสลับที่ควรจะบังคับใช้ในการติดตั้งนี้ พารามิเตอร์นี้อาจทำให้การบันทึกล้มเหลว ถ้าพารามิเตอร์อื่นถูกเปลี่ยนเป็นค่าที่ไม่ได้รับอนุญาตในมาตรฐานที่เลือก NIST SP 800-131A IBM Cognos การตั้งค่า CSK กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้คอมโพเนนต์เข้าถึงที่เก็บคีย์ symmetric ทั่วไป ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่เก็บและจัดการกับคีย์ symmetric ทั่วไป และเพื่อระบุตำแหน่งและรหัสผ่านที่ใช้เพื่อป้องกันการเข้าถึง เก็บคีย์ symmetric แบบโลคัลหรือไม่? ระบุว่าสามารถเก็บคีย์ symmetric ทั่วไปบนโลคัลคอมพิวเตอร์ ถ้าตั้งค่านี้เป็น false ดังนั้น Common Symmetric Key (CSK) จะไม่เก็บแบบโลคัล ในกรณีนี้ การดำเนินการเข้ารหัสลับแต่ละครั้งต้องดึง CSK จากเซิร์ฟเวอร์ ตำแหน่งที่เก็บคีย์ symmetric ทั่วไป ระบุตำแหน่งของฐานข้อมูลที่เก็บคีย์ symmetric ทั่วไป สำหรับการติดตั้งแบบกระจาย ให้ตั้งคุณสมบัตินี้เพื่อชี้ไปยังคอมพิวเตอร์ที่คุณสร้างที่เก็บคีย์ ที่เก็บคีย์จะอยู่ในตำแหน่งโกลบอลเพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงจากคอมพิวเตอร์อื่น รหัสผ่านที่เก็บคีย์ symmetric ทั่วไป ระบุรหัสผ่านที่ใช้เพื่อป้องกันฐานข้อมูลที่เก็บคีย์ symmetric ทั่วไป รหัสผ่านนี้จะจัดเตรียมระดับของการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติมที่ใช้ไม่ได้เมื่อเก็บคีย์ในไฟล์ โดยดีฟอลต์ รหัสผ่านนี้จะถูกเข้ารหัสทันทีเมื่อคุณบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ อายุของคีย์ symmetric ทั่วไป เป็นวัน สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่รัน Content Manager ให้ระบุจำนวนวันสูงสุดที่ CSK ใช้ได้ ช่วงเวลาที่สามารถใช้ได้ที่คุณระบุสำหรับ CSK ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสำคัญของข้อมูลของคุณ ผู้ให้บริการ ระบุผู้ให้บริการการเข้ารหัสลับที่ผลิตภัณฑ์ใช้ ค่าของคุณสมบัตินี้จะตั้งค่าเมื่อคุณเลือกผู้ให้บริการการเข้ารหัสลับจากรายการของชนิดที่พร้อมใช้งาน คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ Cognos กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับผู้ให้บริการการเข้ารหัสลับ Cognos กำหนดคอนฟิกคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อตั้งค่าเซอร์วิสการเข้ารหัสและเซอร์วิส CA สำหรับคอมโพเนนต์ทั้งหมดที่เข้าถึงที่เก็บเนื้อหาเดียว อัลกอริทึมการเก็บความลับ ระบุอัลกอริทึมการเก็บความลับ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุอัลกอริทึมการเข้ารหัสลับเมื่อส่งข้อมูล อัลกอริทึม PDF Confidentiality ระบุอัลกอริทึมการรักษาความลับ PDF ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุอัลกอริทึมการเข้ารหัสเมื่อเข้ารหัสข้อมูล PDF ciphersuites ที่สนับสนุน ระบุรายการของ ciphersuites ที่สนับสนุนตามลำดับความสำคัญ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุว่า ciphersuites ใดที่ยอมรับได้ในการติดตั้งนี้ จากนั้น ciphersuites ที่เลือกจะถูกแสดงกับการสื่อสาร SSL ตามลำดับความสำคัญสำหรับทั้งด้านไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ของการสื่อสาร ต้องมีอย่างน้อยหนึ่ง ciphersuites ที่เลือกระหว่างแพล็ตฟอร์มไคลเอ็นต์และเซิร์ฟเวอร์ที่กำหนดคอนฟิกไว้ที่ต้องตรงกัน รหัสผ่านที่เก็บคีย์ ระบุรหัสผ่านที่ใช้เพื่อป้องกันที่เก็บคีย์ ต้องใช้รหัสผ่านนี้เพื่อรักษาความปลอดภัยของที่เก็บคีย์ IBM Cognos รหัสผ่านทำให้มีเลเยอร์พิเศษของความปลอดภัยโดยการเข้ารหัสไฟล์ที่เก็บคีย์โดยใช้รหัสผ่าน ชื่อเอกลักษณ์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่สร้างเอกลักษณ์ของโลคัลคอมพิวเตอร์ คุณสมบัติเหล่านี้กำหนด Distinguished Name (DN) ของโลคัลคอมพิวเตอร์ distinguished name (DN) เป็นตัวบ่งชี้เฉพาะและเป็นชื่อแบบเต็มที่ต้องใช้เพื่อระบุเข้าของและผู้ออกใบรับรอง ชื่อสามัญของเซิร์ฟเวอร์ ระบุส่วนของชื่อสามัญ (CN) ของ distinguished name (DN) สำหรับคอมพิวเตอร์นี้ ตัวอย่างของชื่อสามัญ คือ ชื่อโฮสต์ของคอมพิวเตอร์ ชื่อขององค์กร ระบุชื่อขององค์กร (O) ที่ใช้ใน distinguished name (DN) ตัวอย่างขององค์กร คือ MyCompany รหัสประเทศหรือภูมิภาค ระบุรหัสประเทศหรือภูมิภาคสองตัวอักษรที่ใช้ใน distinguished name (DN) ตัวอย่างเช่น รหัสสำหรับประเทศญี่ปุ่น คือ JP ใบรับรอง Certificate Authority กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ Certificate Authority ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดคอนฟิกเซอร์วิส Certificate Authority ใช้ CA ของบริษัทอื่นหรือไม่? ระบุว่าต้องการใช้ Certificate Authority ภายนอก ถ้าตั้งค่านี้เป็น true จะไม่ใช้เซอร์วิส IBM Cognos Certificate Authority Certificate Authority ของบริษัทอื่นจะประมวลผลคำร้องขอใบรับรองแบบแมนนวล ชื่อสามัญของเซอร์วิส Certificate Authority ระบุส่วนของชื่อสามัญ (CN) ของ distinguished name (DN) สำหรับคอมพิวเตอร์ Certificate Authority เซอร์วิส ตัวอย่างของชื่อสามัญ คือ ชื่อโฮสต์ของคอมพิวเตอร์ ห้ามใช้ localhost รหัสผ่าน ระบุรหัสผ่านที่ใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องคำร้องขอใบรับรองที่ส่งไปยังเซอร์วิส Certificate Authority คุณสมบัตินี้ต้องเหมือนกันสำหรับไคลเอ็นต์ที่ใช้ Certificate Authority และเซอร์วิส Certificate Authority ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น รหัสผ่านที่คุณระบุสำหรับการติดตั้ง IBM Cognos ที่ไม่มี Content Manager ต้องตรงกับรหัสผ่านที่คุณระบุสำหรับการติดตั้งที่มี Content Manager เซอร์วิส Certificate Authority จะถูกติดตั้งกับ Content Manager โดยดีฟอลต์ รหัสผ่านนี้จะถูกเข้ารหัสทันทีเมื่อคุณบันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณ อายุของใบรับรอง เป็นวัน ระบุจำนวนวันสูงสุดที่ใบรับรองที่ลงชื่อโดยเซอร์วิส Certificate Authority จะใช้ได้ ช่วงเวลาที่สามารถใช้ได้ที่คุณระบุสำหรับใบรับรองขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความเข้มงวดของไพรเวตคีย์ที่ใช้เพื่อลงชื่อใบรับรอง ชื่อสำรองของหัวเรื่อง กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดคอนฟิก ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ที่เชื่อมโยงกับใบรับรองความปลอดภัย ชื่อ DNS รายชื่อ DNS ที่คั่นด้วยช่องว่างซึ่งเพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่องในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ มีชื่อ DNS อย่างน้อยหนึ่งชื่อที่ควรถูกเพิ่มไปยังใบรับรอง ชื่อควรตรงกับชื่อโฮสต์ที่ผ่านการตรวจสอบแบบสมบูรณ์ซึ่งถูกใช้เพื่อเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ ระบุชื่อ DNS ที่เพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ IP addresses รายการ IP address ที่คั่นด้วยช่องว่างที่จะถูกเพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่องในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ คุณสมบัตินี้จำเป็นต้องมีหากไคลเอ็นต์จะเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์นี้โดยใช้ IP address ไม่เช่นนั้น คุณสมบัตินี้สามารถเป็นค่าว่างได้ ระบุ IP address ที่ถูกเพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ อีเมลแอดเดรส รายการอีเมลแอดเดรสที่คั่นด้วยช่องว่างซึ่งเพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ หากไม่มีอีเมลแอดเดรสที่ต้องการ คุณสมบัตินี้สามารถปล่อยเป็นค่าว่างได้ ระบุอีเมลแอดเดรสที่เพิ่มไปยังส่วนขยาย ชื่อสำรองของหัวเรื่อง ในใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ การตั้งค่า SSL กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับการกำหนดคอนฟิกการตั้งค่า SSL ขั้นสูง ใช้คุณสมบัติเหล่านี้เพื่อกำหนดคอนฟิกการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างคอมโพเนนต์ IBM Cognos บน secure sockets layer (SSL) ใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบ mutual หรือไม่? ระบุว่าต้องการการพิสูจน์ตัวตนแบบ mutual หรือไม่ ตั้งค่าของคุณสมบัตินี้เป็น 'true' ถ้าทั้งคอมโพเนนต์และคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องในการสื่อสารต้องพิสูจน์เอกลักษณ์ การพิสูจน์ตัวตนแบบ mutual เกิดขึ้นโดยใช้ใบรับรอง ซึ่งถูกแลกเปลี่ยนโดยการเชื่อมต่อการสื่อสารเมื่อเริ่มต้นการเชื่อมต่อ ใช้การรักษาความลับหรือไม่? ระบุว่าต้องการใช้การเข้ารหัสเพื่อให้แน่ใจถึงการรักษาความลับของข้อมูลที่ส่งหรือไม่ ถ้าตั้งค่าของคุณสมบัตินี้เป็น 'false' ข้อมูลที่ถูกส่งจะไม่ถูกเข้ารหัส โปรโตคอล SSL เลือกโปรโตคอลของการเชื่อมต่อ SSL หมายเหตุ: ถ้าคุณเลือกอ็อพชัน 'TLS1.2,TLS1.1,TLS1.0' จะมีการเปิดใช้งาน TLS1.0 โปรดติดต่อผู้จำหน่าย JRE สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการปิดใช้งาน TLS1.0 TLS1.2 รหัสผ่านที่เก็บที่เชื่อถือได้ของ JVM ระบุรหัสผ่านสำหรับที่เก็บที่เชื่อถือได้ของ JVM เปลี่ยนรหัสผ่านของคุณเอง ถ้าคุณไม่ต้องการใช้รหัสผ่านดีฟอลต์ของที่เก็บที่น่าเชื่อถือของ JVM ให้แน่ใจว่ารหัสผ่านนั้นตรงกับรหัสผ่านของที่เก็บที่เชื่อถือได้ของ JVM ของคุณ การตั้งค่าอัลกอริทึมขั้นสูง กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับการกำหนดคอนฟิกอัลกอริทึมการเข้ารหัสลับ ใช้คุณสมบัติขั้นสูงเหล่านี้เพื่อระบุอัลกอริทึมการเข้ารหัสลับที่ต้องการใช้ อัลกอริทึม Digest ระบุอัลกอริทึมการแยกแยะ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุอัลกอริทึมการแยกแยะข้อความที่ใช้เมื่อแฮชข้อมูล MD5 MD2 SHA SHA-1 SHA-256 SHA-384 SHA-512 อัลกอริทึมคู่คีย์การลงชื่อ ระบุอัลกอริทึมคู่คีย์การลงชื่อ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุอัลกอริทึมที่ใช้เมื่อลงชื่อข้อมูล RSA DSA (Digital Signature Algorithm) การเรพลิเคท กำหนดคุณสมบัติทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการเรพลิเคทข้อมูลเซสชันของผู้ใช้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าสำหรับเซอร์วิสการพิสูจน์ตัวตน IBM Cognos เพื่อเปิดใช้งานการเรพลิเคทเซสชันผู้ใช้ เปิดใช้งานการเรพลิเคทหรือไม่? ระบุว่าเปิดใช้งานการเรพลิเคทเซสชันผู้ใช้หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานการเรพลิเคทข้อมูลเซสชันผู้ใช้ข้ามเซอร์วิสการพิสูจน์ตัวตน หมายเลขพอร์ต Peer listener ระบุพอร์ตที่ใช้เพื่อค้นหา peer ค่าที่เป็น 0 หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์จะเลือกพอร์ตที่พร้อมใช้งานโดยอัตโนมัติ เมื่อระบุค่าอื่นที่ไม่ใช่ 0 ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้ การสื่อสารพอร์ตใช้โปรโตคอล SSL/TLS ที่ได้รับการพิสูจนตัวตน RMI replication port number ระบุพอร์ตที่ใช้สำหรับการสื่อสาร RMI ค่าที่เป็น 0 หมายความว่าเซิร์ฟเวอร์จะเลือกพอร์ตที่พร้อมใช้งานโดยอัตโนมัติ พอร์ต RMI เป็นพอร์ตการสื่อสารที่ใช้โดย Java Remote Method Invocation API เมื่อระบุค่าอื่นที่ไม่ใช่ 0 ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้ การสื่อสารพอร์ตใช้โปรโตคอล SSL/TLS ที่ได้รับการพิสูจนตัวตน
ตำแหน่งไฟล์การนำไปใช้งาน ระบุตำแหน่งที่จะเก็บไฟล์ถาวรการนำไปใช้งาน เนื่องจากไฟล์ที่เก็บถาวรการนำไปใช้งานสามารถมีข้อมูลที่มีความสำคัญ เนื่องจากสาเหตุเกี่ยวกับความปลอดภัยคุณอาจต้องการจำกัดการเข้าถึงตำแหน่งนี้
Content Manager กำหนดคอมโพเนนต์ที่จัดการกับเนื้อหาและนโยบายการรักษาความปลอดภัย Content Manager ต้องสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลภายนอกที่เก็บเนื้อหา บันทึกเอาต์พุตของรายงานไปยังระบบไฟล์? ระบุว่าต้องการบันทึกเอาต์พุตของรายงานไปยังระบบไฟล์ผ่าน Content Manager Advanced Setting หรือไม่ (เช่น CM.OUTPUTLOCATION) ใช้แฟล็กนี้เพื่อเปิดใช้งาน/ปิดใช้งานคุณลักษณะเพื่อบันทึกเอาต์พุตของรายงานไปยังระบบไฟล์โดย Content Manager Service โปรดสังเกตว่าคุณลักษณะนี้จะแตกต่างกับอ็อพชันการรันรายงานใหม่เพื่อเก็บเอาต์พุตของรายงานแบบถาวรไปยังระบบไฟล์ Delivery Service รูปแบบของเอาต์พุตของรายงานที่คุณสามารถบันทึกรวมถึง: PDF, CSV, XML, Excel 2002 และ HTML ซึ่งไม่มีกราฟิกฝังอยู่ เอาต์พุตของรายงานที่คุณไม่สามารถบันทึกได้รวมถึง: แฟรกเมนต์ HTML, XHTML หรือรูปแบบชีตเดี่ยวของ Excel 2000
เคลื่อนย้ายได้ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลแบบเคลื่อนย้ายได้ ใช้คุณสมบัติเหล่านี้เพื่อระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับ Mobile และข้อมูลการเชื่อมต่อที่จำเป็นเพื่อเข้าถึง Mobile สนับสนุน DB2, SQL Server และ Oracle เมื่อต้องการทำสิ่งนี้ ให้คลิกขวาที่ Mobile คลิก New resource, Database เลือกชนิดฐานข้อมูลแล้วกำหนดค่าคุณสมบัติของรีซอร์ส ระบุชนิดฐานข้อมูลสำหรับที่เก็บเนื้อหาแบบพกพา
การแจ้งเตือน กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่จัดเตรียมการเข้าถึงแอคเคาต์เมลเซิร์ฟเวอร์หรือเนื้อหาของ IBM Cognos ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดค่าแอคเคาต์ที่จะส่งการแจ้งเตือน คอมโพเนนต์การแจ้งเตือนยังต้องการการเข้าถึงฐานข้อมูลที่จะใช้เพื่อเก็บเนื้อหาการแจ้งเตือน นี่หมายความว่าในการติดตั้งแบบกระจาย คอมโพเนนต์ Notification ทั้งหมดต้องชี้ไปยังฐานข้อมูลเดียวกัน เมื่อต้องการทำสิ่งนี้ ให้คลิกขวาที่ การแจ้งเตือน คลิก สร้าง, ฐานข้อมูล แล้วพิมพ์ชื่อหรือเลือกชนิดของฐานข้อมูล ถ้าคอมโพเนนต์ การแจ้งเตือน อยู่บนคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกับ Content Manager คุณไม่จำเป็นต้องกำหนดค่าแหล่งข้อมูลรีซอร์สสำหรับคอมโพเนนต์การแจ้งเตือน ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับ Notification ระบุว่าการเชื่อมต่อเมลเซิร์ฟเวอร์ควรจะใช้การเข้ารหัส SSL หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานการเข้ารหัส SSL สำหรับการเชื่อมต่อเมลเซิร์ฟเวอร์
Human Task and Annotation Services กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่จัดเตรียมการเข้าถึงเนื้อหา Human Task and Annotation Services ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดค่าการเข้าถึงฐานข้อมูลที่จะใช้เพื่อเก็บเนื้อหา Human Task and Annotation Services ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับ Human Task and Annotation Services
โลคัลคอนฟิกูเรชัน กลุ่มคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนของฟังก์ชันสำหรับคอมโพเนนต์ที่ติดตั้งบนโลคัลคอมพิวเตอร์ หลังจากคุณติดตั้งคอมโพเนนต์ IBM Cognos หนึ่งคอมโพเนนต์หรือมากกว่าบนคอมพิวเตอร์ คุณต้องกำหนดค่าคอมโพเนนต์เพื่อให้ทำงานสภาวะแวดล้อมการเขียนรายงานของคุณ การตั้งค่าคุณสมบัติดีฟอลต์ที่ IBM เลือกจะถูกใช้เพื่อกำหนดคอนฟิกคอมโพเนนต์ คุณอาจต้องการเปลี่ยนการตั้งค่าดีฟอลต์เหล่านี้ ถ้ามีเงื่อนไขที่ทำให้ตัวเลือกดีฟอลต์ไม่เหมาะสม หรือเพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมของคุณมากขึ้น ใช้ IBM Cognos Configuration เพื่อกำหนดคอนฟิกคอมโพเนนต์ IBM Cognos หลังจากคุณติดตั้งแล้ว กำหนดคอนฟิกคอมโพเนนต์ IBM Cognos ใหม่ถ้าคุณสมบัติเปลี่ยนแปลง หรือคุณเพิ่มคอมโพเนนต์เข้ากับสภาวะแวดล้อมของคุณ หรือเพื่อเริ่มต้นหรือหยุดเซอร์วิส IBM Cognos บนโลคัลคอมพิวเตอร์ ถ้าคุณทำการเปลี่ยนแปลง ให้บันทึกคอนฟิกูเรชันของคุณและจากนั้นเริ่มต้นเซอร์วิส IBM Cognos เพื่อใช้การตั้งค่าใหม่กับคอมพิวเตอร์ของคุณ การบันทึก จัดกลุ่มคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับการบันทึก กำหนดค่าคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์การบันทึกและระบุว่าเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบโลคัลจะส่งข้อความไปที่ใด คุณสามารถกำหนดคอนฟิกเซิร์ฟเวอร์บันทึกแบบโลคัลเพื่อเปลี่ยนทิศทางข้อความไปยังเป้าหมายหลายชนิดที่พร้อมใช้งาน เช่น ไฟล์ ฐานข้อมูล หรือเซิร์ฟเวอร์บันทึกแบบรีโมต การปรับแต่ง การนำเสนอ สภาวะแวดล้อม จัดกลุ่มคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อม กำหนดคอนฟิกคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อให้คอมโพเนนต์ที่ถูกติดตั้งสามารถสื่อสารกับคอมโพเนนต์ IBM Cognos อื่นที่ติดตั้งบนรีโมตคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ยังใช้คุณสมบัติเหล่านี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าที่เป็นค่าเฉพาะสำหรับคอมพิวเตอร์นี้ เช่น ตำแหน่งที่เก็บไฟล์ IBM Cognos การรักษาความปลอดภัย จัดกลุ่มพารามิเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย กำหนดคอนฟิกคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อให้แน่ใจถึงการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างคอมโพเนนต์ IBM Cognos เพื่อกำหนดสภาวะแวดล้อมการรักษาความปลอดภัยที่ผู้ใช้ทั้งหมดแบ่งใช้ และเพื่อเปิดใช้งานการเข้ารหัส การเข้าถึงข้อมูล จัดกลุ่มคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงข้อมูล กำหนดคอนฟิกคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อให้คอมโพเนนต์ที่ถูกติดตั้งสามารถใช้ฐานข้อมูลภายนอกเพื่อเก็บเนื้อหาของแอ็พพลิเคชัน IBM Cognos และข้อมูลการรักษาความปลอดภัย การแจ้งเตือน จัดกลุ่มคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเตือน ถ้าคุณต้องการส่งรายงานโดยใช้อีเมล ให้ตั้งค่าคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงแอคเคาต์เมลเซิร์ฟเวอร์ การแทนที่ผู้ดูแลระบบ จัดกลุ่มคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับการแทนที่ผู้ดูแลระบบ กำหนดคอนฟิกคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อแทนที่การตั้งค่าระบบดีฟอลต์
ตำแหน่งไฟล์ข้อมูล ระบุตำแหน่งที่จัดเก็บไฟล์ข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยคอมโพเนนต์ผลิตภัณฑ์ คุณไม่สามารถลบไฟล์เหล่านี้ ไฟล์เหล่านี้จะยังคงอยู่บนคอมพิวเตอร์ของคุณจนกว่าจะไม่ถูกต้องการโดยคอมโพเนนต์ที่สร้างไฟล์เหล่านี้ ตำแหน่งไฟล์แม็พ ระบุตำแหน่งของโฟลเดอร์ที่มีไฟล์แม็พของ IBM Cognos (*.cmf) ไฟล์แม็พของ IBM Cognos ประกอบด้วยข้อมูลภาพวาดและสตริงที่แปลเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้เมื่อเรนเดอร์แม็พ ตำแหน่งไฟล์ชั่วคราว ระบุตำแหน่งของโฟลเดอร์ที่มีรายงานที่ถูกดูล่าสุด ผลิตภัณฑ์จะสร้างไฟล์ชั่วคราวใแต่ละครั้งที่คุณเปิดรายงาน ผลิตภัณฑ์จะเก็บไฟล์ชั่วคราวเหล่านี้ในตำแหน่งที่คุณระบุ ผลิตภัณฑ์อาจไม่ลบไฟล์ชั่วคราวทั้งหมดเมื่อปิดไฟล์และไฟล์เหล่านี้อาจยังอยู่บนคอมพิวเตอร์ของคุณจนกว่าคุณจะลบออก เข้ารหัสไฟล์ชั่วคราวหรือไม่? ระบุว่าเนื้อหาของไฟล์ชั่วคราวจะถูกเข้ารหัสหรือไม่ ถ้ารายงานที่ดูล่าสุดมีข้อมูลที่มีความสำคัญ ให้ตั้งค่าของคุณสมบัตินี้เป็น 'true' เพื่อเข้ารหัสเนื้อหาของไฟล์ชั่วคราว ตำแหน่งไฟล์ข้อมูลจำเพาะการจัดรูปแบบ ระบุชื่อและตำแหน่งของไฟล์ที่มีข้อมูลจำเพาะการจัดรูปแบบ โลแคลผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุน ระบุรายการของภาษาที่สนับสนุนสำหรับอินเตอร์เฟสผลิตภัณฑ์ ป้อนชุดของรหัสภาษาตัวพิมพ์เล็ก 2 อักขระ เช่น "en" โลแคลเนื้อหาที่สนับสนุน ระบุรายการของโลแคลที่สนับสนุนสำหรับเนื้อหาของรายงาน พร้อมต์ ข้อมูล และข้อมูลเมตา ป้อนชุดของรหัสภาษา-ภูมิภาคตัวพิมพ์เล็ก 2 อักขระ คั่นด้วยเครื่องหมายขีดกลาง เช่น "en-us" แม็พโลแคลผลิตภัณฑ์ ระบุการแม็พที่กำหนดภาษาที่สนับสนุนสำหรับอินเตอร์เฟสผลิตภัณฑ์ ป้อนชุดของรหัสภาษาตัวพิมพ์เล็ก 2 อักขระ เช่น "en" แม็พโลแคลเนื้อหา ระบุการแม็พที่กำหนดโลแคลที่จะใช้สำหรับเนื้อหาของรายงาน พร้อมต์ ข้อมูล และข้อมูลเมตา ป้อนชุดของรหัสภาษา-ภูมิภาคตัวพิมพ์เล็ก 2 อักขระ คั่นด้วยเครื่องหมายขีดกลาง เช่น "en-us" สกุลเงินที่สนับสนุน ระบุรายการของสกุลเงินที่สนับสนุน ป้อนชุดของรหัสสกุลเงิน ISO 4217 เช่น "USD" ฟอนต์ที่สนับสนุน ระบุรายการของฟอนต์ที่สนับสนุน ป้อนชุดของชื่อฟอนต์ เช่น "Arial" ขนาดของบัฟเฟอร์การเรียงลำดับในหน่วย MB ระบุขนาดของบัฟเฟอร์การเรียงลำดับเพื่อใช้สำหรับการประมวลผลโลคัล เคียวรีที่ไม่ถูกประมวลผลทั้งหมดภายในเซิร์ฟเวอร์ฐานข้อมูลอาจต้องการการประมวลผลแบบโลคัลที่เกี่ยวข้องกับการเรียงลำดับ การดำเนินการเรียงลำดับใช้บัฟเฟอร์หน่วยความจำซึ่งจะโอเวอร์โฟลว์ไปยังหน่วยเก็บข้อมูลชั่วคราวสำหรับการดำเนินการเรียงลำดับขนาดใหญ่ การเพิ่มหน่วยความจำการเรียงลำดับสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้โดยการลดจำนวนของการดำเนินการอ่านเขียนไปยังหน่วยเก็บข้อมูลชั่วคราว การจัดสรรหน่วยความจำมากเกินไปให้กับการดำเนินการเรียงลำดับพร้อมกันอาจมีผลกับการจัดการหน่วยความจำของระบบปฏิบัติการ การตั้งค่าขั้นสูง ระบุการตั้งค่าขั้นสูง ป้อนการตั้งค่าขั้นสูง URI ของเซิร์ฟเวอร์ BPM ระบุ REST URI ของเซิร์ฟเวอร์ BPM ป้อน REST URI ของเซิร์ฟเวอร์ BPM HTTPOnly Cookie Support สั่งเบราว์เซอร์ให้ไม่อนุญาตให้สคริปต์เข้าถึงคุกกี้เซสชันพาสปอร์ต ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานแอ็ตทริบิวต์ HTTPOnly บนคุกกี้เซสชันพาสปอร์ต เมื่อตั้งค่า แอ็ตทริบิวต์ HTTPOnly จะบอกเบราว์เซอร์ว่าคุกกี้เซสชันไม่สามารถเข้าถึงได้โดยสคริปต์เบราว์เซอร์ การเปิดใช้งานแอ็ตทริบิวต์นี้ทำให้แน่ใจว่าคุกกี้เซสชันจะทนต่อการโจมตี Cross Site Scripting (XSS) ได้มากขึ้น IP Version สำหรับ Host Name Resolution ระบุเวอร์ชันของ IP สำหรับการแปลงชื่อโฮสต์ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุเวอร์ชันของอินเตอร์เน็ตโปรโตคอลสำหรับการแปลงชื่อโฮสต์ ใช้แอดเดรส IPv4 ใช้แอดเดรส IPv6 ใช้ JVM เวอร์ชัน IP ที่ต้องการ การตั้งค่าเกตเวย์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลเกตเวย์ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเกตเวย์ Gateway URI ระบุ URI ของเกตเวย์ ใช้โปรโตคอล 'https' หรือ 'http' เพื่อเลือกการสื่อสาร SSL หรือการสื่อสารที่ไม่ใช้ SSL ส่วนของชื่อโฮสต์ของ URI เกตเวย์ต้องถูกเปลี่ยนจาก localhost เป็น IP แอดเดรสหรือชื่อโฮสต์เครือข่าย เนมสเปซเกตเวย์ ระบุ ID เนมสเปซของผู้ให้บริการการพิสูจน์ตัวตนที่เกตเวย์เชื่อมต่อเพื่อตรวจสอบหนังสือรับรองผู้ใช้ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อให้เกตเวย์เชื่อมต่อกับหนึ่งเนมสเปซ ผู้ใช้ที่ล็อกออนเข้าสู่เว็บเซิร์ฟเวอร์ที่มีเกตเวย์จะไม่ได้รับพร้อมต์เพื่อให้เลือกซอร์สของการพิสูจน์ตัวตน โดยดีฟอลต์ เกตเวย์จะใช้เนมสเปซที่กำหนดค่าไว้ทั้งหมดและคุณจะได้รับพร้อมต์ให้เลือกเนมสเปซ Content Manager sAMAccountName ระบุ sAMAccountName ของผู้ใช้ที่รัน Content Manager ค่านี้ต้องถูกกำหนดค่าถ้าคุณกำลังใช้การพิสูจน์ตัวตน kerberos ที่มีการมอบหมายที่จำกัดและติดตั้ง IBM Cognos BI บนระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows อนุญาตให้แทนที่เนมสเปซหรือไม่? การตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true จะพิสูจน์ตัวตนคำร้องขอจากพอร์ตเล็ต Portal Services กับเนมสเปซที่ระบุสำหรับพอร์ทัลของบริษัทอื่น เมื่อรวมพอร์ตเล็ต IBM Cognos ภายในพอร์ทัลของบริษัทอื่น มักต้องการให้เปิดใช้งาน single signon เพื่อพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้โดยอัตโนมัติ เมื่อเปิดใช้งาน single signon ต้องตั้งค่าพารามิเตอร์ Allow Namespace Override ใน IBM Cognos Configuration เป็น true นอกจากนี้ ภายในพอร์ทัลของบริษัทอื่น ต้องตั้งค่าพารามิเตอร์ในพอร์ตเล็ต IBM Cognos ให้ชี้ไปยัง ID เนมสเปซที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน พารามิเตอร์ Allow Namespace Override จะบอกให้พอร์ตเล็ต IBM Cognos ใช้เนมสเปซที่กำหนดไว้ภายในพอร์ทัลของบริษัทอื่นสำหรับ single signon ถ้าคุณไม่ได้ใช้พอร์ตเล็ตของ IBM Cognos ภายในพอร์ทัลของบริษัทอื่น การตั้งค่านี้ควรเป็น false สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเปิดใช้งาน single signon สำหรับพอร์ทัลของบริษัทอื่น โปรดดูที่บท การดูแลระบบ Portal Services ของคู่มือ IBM Cognos Administration และการรักษาความปลอดภัย Dispatcher URI สำหรับเกตเวย์ ระบุ URI ไปยัง Dispatcher หนึ่งรายการหรือมากกว่าที่เกตเวย์อาจใช้ คุณสมบัตินี้ใช้โดยเกตเวย์เพื่อส่งคำร้องขอไปยัง IBM Cognos dispatcher แรกในรายการจะเป็น dispatcher ดีฟอลต์ที่จะส่งคำร้องขอ ถ้าไม่สามารถเข้าถึง dispatcher แรกได้ ดังนั้น dispatcher ตัวที่สองในรายการจะกลายเป็น dispatcher ดีฟอลต์แทน ค่า URI ต้องตรงกับ External dispatcher URI ของ dispatche ในการติดตั้งของคุณ ยกเว้นต้องลงท้ายด้วย '/ext' โดยต้องระบุชื่อโฮสต์เครือข่ายหรือ IP แอดเดรสแทนที่จะเป็น 'localhost' Controller URI สำหรับเกตเวย์ ระบุ URI ไปยังเซิร์ฟเวอร์ IBM Cognos Controller ถ้ามี คุณสมบัตินี้ใช้โดยเกตเวย์เพื่อส่งคำร้องขอไปยังเซิร์ฟเวอร์ IBM Cognos Controller การตั้งค่า Dispatcher กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูล dispatcher ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดข้อมูลที่เชื่อมโยงกับ dispatcher External dispatcher URI ระบุ URI ไปยัง dispatcher ที่ประมวลผลคำร้องขอจากเกตเวย์หรือเซอร์วิสบนรีโมตคอมพิวเตอร์ คุณสมบัตินี้จะกำหนด HTTP endpoint ที่ dispatcher ได้รับคำร้องขอที่มาจากคอมพิวเตอร์อื่น ซึ่งจะระบุ dispatcher นี้กับ dispatcher อื่นที่เป็นส่วนของการติดตั้งเดียวกัน ใช้โปรโตคอล 'https' หรือ 'http' เพื่อเลือกการสื่อสาร SSL หรือการสื่อสารที่ไม่ใช้ SSL ระบุหมายเลขพอร์ตว่าง dispatcher จะใช้ชื่อโฮสต์เครือข่ายของคอมพิวเตอร์โดยดีฟอลต์ ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องระบุชื่อโฮสต์เครือข่ายหรือ IP แอดเดรส ถ้าระบุส่วนของชื่อโฮสต์ของ URI เป็น 'localhost' ต้องแน่ใจว่ากำหนด 'localhost' ไว้บนคอมพิวเตอร์ Internal dispatcher URI ระบุ URI ไปยัง dispatcher ที่ประมวลผลคำร้องขอจากเซอร์วิสบนคอมพิวเตอร์เดียวกัน คุณสมบัตินี้จะกำหนด HTTP endpoint ที่ dispatcher ได้รับคำร้องขอที่มาจากโลคัลคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องมีค่าเดียวกับ External dispatcher URI ยกเว้นคุณเลือกใช้ SSL เท่านัน้สำหรับคำร้องขอภายนอก ในกรณีดังกล่าว External dispatcher URI จะระบุ 'https' และ Internal dispatcher URI จะระบุ 'http' และหมายเลขพอร์ตต้องต่างกัน ส่วนของชื่อโฮสต์ของ URI ต้องอ้างถึงโลคัลคอมพิวเตอร์ ถ้าระบุส่วนของชื่อโฮสต์ของ URI เป็น 'localhost' ต้องแน่ใจว่ากำหนด 'localhost' ไว้บนคอมพิวเตอร์ รหัสผ่าน Dispatcher ระบุรหัสผ่านที่เปิดใช้งานการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่าง Dispatcher คุณสมบัตินี้คำนึงถึงขนาดตัวพิมพ์ พอร์ต JMX ภายนอก ระบุหมายเลขพอร์ตให้กับอินเตอร์เฟสการควบคุมดูแล JMX ตั้งค่าเป็น 0 เพื่อปิดใช้งานอินเตอร์เฟส หนังสือรับรอง JMX ภายนอก ระบุชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านสำหรับการรักษาความปลอดภัยอินเตอร์เฟสการควบคุมดูแล JMX ต้องแน่ใจว่ากำหนดค่าพอร์ตนอกเหนือจากจากการตั้งค่าชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน โหมดการเรียกใช้ Report Server ระบุโหมดการเรียกใช้ Report Server โหมด 64 บิตใช้ได้กับการติดตั้ง 64 บิตเท่านั้น 32 บิต 64 บิต การตั้งค่าเว็บเซอร์วิส กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลเว็บเซอร์วิส ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บเซอร์วิส โฮสต์เว็บเซอร์วิส ระบุชื่อโฮสต์ของเว็บเซอร์วิส ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่รันเว็บเซอร์วิส หมายเลขพอร์ตของเว็บเซอร์วิส ระบุพอร์ตที่เว็บเซอร์วิสใช้ ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้งาน เปิดใช้งาน SSL หรือไม่? ระบุว่าจะใช้โปรโตคอล SSL สำหรับจุดปลาย http ของเว็บเซอร์วิสหรือไม่ หากคุณตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true ดังนั้น จะใช้ SSL สำหรับจุดปลาย http ของเว็บเซอร์วิส URI ของเว็บเซอร์วิส ระบุ URI จุดปลายของเว็บเซอร์วิส คุณสมบัตินี้กำหนด URI จุดปลายของเว็บเซอร์วิส พาธ Ping ระบุพาธ URI เพื่อ ping เว็บเซอร์วิสนี้ คุณสมบัตินี้กำหนดพาธ URI เพื่อ ping เว็บเซอร์วิสนี้ การตั้งค่าเซอร์วิสชุดข้อมูล กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลเซอร์วิสชุดข้อมูล ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อตั้งค่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเซอร์วิสชุดข้อมูล หมายเลขพอร์ตของเซอร์วิสชุดข้อมูล ระบุพอร์ตที่ใช้งานโดยเซอร์วิสชุดข้อมูล ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้งาน หมายเลขพอร์ตของ Compute Service ระบุพอร์ตที่ Compute Service ใช้ ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้งาน รายการนี้ใช้ได้เฉพาะค่าตัวเลขที่ไม่เป็นลบในช่วงต่อไปนี้ [0, 65535] หากผู้ใช้เลือก '0' ดังนั้น เซอร์วิสการคำนวณ จะใช้การกำหนดพอร์ตแบบไดนามิก ในกรณีอื่นๆ เซอร์วิสการคำนวณจะใช้พอร์ตที่กำหนดให้ การตั้งค่า URI อื่น กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูล URI ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้กำหนดคุณสมบัติ URI อื่น Dispatcher URI สำหรับแอ็พพลิเคชันภายนอก ระบุ URI ที่ใช้โดย Framework Manager, Metrics Designer, Dynamic Analyzer หรือ SDK เพื่อส่งคำร้องขอไปยัง IBM Cognos โดยทั่วไปค่าจะสอดคล้องกับ External dispatcher URI ของ dispatcher หนึ่งในการติดตั้งของคุณ ซึ่งต้องใช้ชื่อโฮสต์เครือข่ายหรือ IP แอดเดรสจริงแทน localhost ถ้า Framework Manager, Metrics Designer, Dynamic Query Analyzer หรือ SDK ไคลเอ็นต์เชื่อมต่อกับ IBM Cognos ผ่านตัวกลางเช่น load balancer หรือพร็อกซี ให้ระบุโฮสต์และพอร์ตของตัวกลาง คุณสมบัตินี้ถูกใช้โดย Framework Manager เมื่อเผยแพร่โมเดล, ใช้โดย Metrics Designer เมื่อสร้างเมทริก, ใช้โดย Dynamic Query Analyzer เมื่อเคียวรี Content Manager หรือส่งคำขอไปยัง Dynamic Query Cube และใช้โดยผู้พัฒนา SDK เมื่อเคียวรี Content Manager สำหรับเอาต์พุต IBM Cognos ต้องสามารถติดต่อกับเกตเวย์หรือ dispatcher ที่รันอยู่บนเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่สนับสนุน chunking และสิ่งที่แนบเพื่อจัดการกับข้อมูลจำนวนมาก ถ้าไม่มีไฟร์วอลล์ระหว่าง Framework Manager, Metrics Designer, Dynamic Query Analyzer หรือผู้ใช้ SDK และ IBM Cognos คอมโพเนนต์จะใช้การตั้งค่าดีฟอลต์ ถ้ามีไฟร์วอลล์ คุณต้องสามารถเข้าถึงอย่างน้อยหนึ่งเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่สนับสนุน chunking ที่อยู่นอกไฟร์วอลล์ ส่วนนำหน้าโปรโตคอล http หรือ https ระบุว่าต้องการใช้ SSL หรือไม่ Content Manager URIs ระบุ URI หนึ่งรายการหรือมากกว่าไปยัง Content Manager. ใช้โปรโตคอล 'https' หรือ 'http' เพื่อเลือกการสื่อสาร SSL หรือการสื่อสารที่ไม่ใช้ SSL คุณสมบัตินี้ใช้โดย dispatcher และเซอร์วิสเพื่อส่งคำร้องขอ Content Manager ถ้าคุณกำลังใช้ฟังก์ชัน Standby Content Manager ให้ป้อน URI ของ Content Manager ทั้งหมด ถ้าระบุส่วนของชื่อโฮสต์ของ URI เป็น 'localhost' ต้องแน่ใจว่ากำหนด 'localhost' ไว้บนคอมพิวเตอร์ Data Manager SOAP Server URI ระบุ URI ไปยัง Data Manager SOAP Server การตั้งค่าฟอนต์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุข้อมูลฟอนต์ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดข้อมูลฟอนต์ ตำแหน่งฟิสิคัลของฟอนต์ ระบุตำแหน่งของไฟล์ฟอนต์ การแม็พฟิสิคัลฟอนต์ ระบุการแม็พของฟอนต์ที่สนับสนุนกับชื่อฟอนต์แบบฟิสิคัล ป้อนชุดของชื่อฟอนต์ เช่น "Sans Serif" และ "Arial" ฟอนต์ที่ต้องการฝัง (เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์) ระบุฟอนต์ที่อาจถูกฝังในเอกสาร PDF โดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ การตัดสินใจที่จะฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF เสมอหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าได้รับอนุญาตให้ฝังหรือไม่ และถ้าเอกสารใช้อักขระที่ไม่ได้เป็นส่วนของการเข้ารหัสอักขระ windows-1252 ฟอนต์ที่ห้ามมีการฝัง (เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์) ระบุฟอนต์ที่อาจไม่ถูกฝังในเอกสาร PDF โดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ การตัดสินใจที่จะไม่ฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF เสมอหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าได้รับอนุญาตให้ฝังหรือไม่ และถ้าเอกสารใช้อักขระที่ไม่ได้เป็นส่วนของการเข้ารหัสอักขระ windows-1252 ฟอนต์ที่ต้องการฝัง (เซอร์วิสรายงาน) ระบุฟอนต์ที่อาจฝังในเอกสาร PDF โดยเซอร์วิสรายงาน การตัดสินใจที่จะฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF เสมอหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าได้รับอนุญาตให้ฝังหรือไม่ และถ้าเอกสารใช้อักขระที่ไม่ได้เป็นส่วนของการเข้ารหัสอักขระ windows-1252 ฟอนต์ที่ห้ามถูกฝัง (เซอร์วิสรายงาน) ระบุฟอนต์ที่อาจไม่ถูกฝังในเอกสาร PDF โดยเซอร์วิสรายงาน การตัดสินใจที่จะไม่ฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF เสมอหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าได้รับอนุญาตให้ฝังหรือไม่ และถ้าเอกสารใช้อักขระที่ไม่ได้เป็นส่วนของการเข้ารหัสอักขระ windows-1252 ทั่วไป โลแคลของเซิร์ฟเวอร์ ระบุโลแคลของเซิร์ฟเวอร์ โลแคลของเซิร์ฟเวอร์ถูกตั้งค่าโดยใช้ภาษาที่เลือกระหว่างการติดตั้ง แต่สามารถเปลี่ยนได้ คุณสมบัตินี้ทำให้แน่ใจว่าข้อความบันทึกทั้งหมดจะถูกเขียนในภาษาเดียวที่กำหนดโดยโลแคลของเซิร์ฟเวอร์ ถ้าข้อมูลในบันทึกมีหลายภาษา คุณอาจต้องการแทนที่ค่านี้เพื่อให้ข้อความถูกบันทึกโดยใช้การเข้ารหัส UTF8 เมื่อต้องการทำสิ่งนี้ ให้ตั้งค่าของคุณสมบัติการเข้ารหัส UTF8 เป็น true สำหรับคอมโพเนนต์ Logging เขตเวลาของเซิร์ฟเวอร์ ระบุเขตเวลาที่ Content Manager ใช้ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุเขตเวลาที่ Content Manager ใช้ เขตเวลาจะใช้เป็นการอ้างอิงเวลาในกำหนดเวลาและเวลาระบบอื่น ดีฟอลต์ฟอนต์ ระบุฟอนต์ที่ใช้ในรายงาน PDF เมื่อไม่พบฟอนต์ในสไตล์ชีตเพื่อแสดงข้อมูล ใช้หนึ่งในชื่อฟอนต์ที่สนับสนุนแบบโกลบอล การเข้ารหัสอีเมล ระบุการเข้ารหัสอีเมล การเข้ารหัสที่ระบุจะถูกใช้สำหรับชื่อเรื่องและส่วนของข้อความเมื่อส่งอีเมล ซึ่งจะไม่มีผลกับสิ่งที่แนบหรือส่วนของ HTML UTF-8 Western European (ISO 8859-1) Western European (ISO 8859-15) Western European (Windows-1252) Central and Eastern European (ISO 8859-2) Central and Eastern European (Windows-1250) Cyrillic (ISO 8859-5) Cyrillic (Windows-1251) Turkish (ISO 8859-9) Turkish (Windows-1254) Greek (ISO 8859-7) Greek (Windows-1253) Japanese (Shift-JIS) Japanese (ISO-2022-JP) Japanese (EUC-JP) Traditional Chinese (Big5) Simplified Chinese (GB-2312) Korean (ISO 2022-KR) Korean (EUC-KR) Korean (KSC-5601) Thai (Windows-874) Thai (TIS-620) Archive Location File System Root ระบุ URI แบบสัมบูรณ์ที่ใช้เพื่อเป็นรูทของตำแหน่งที่เก็บถาวรโดยใช้รูปแบบการกำหนดแอดเดรส URI ของไฟล์ URI นี้ต้องอยู่ในรูปแบบ file://(file-system-path) โดยที่ (file-system-path) จะระบุตำแหน่งระบบไฟล์ที่มีอยู่ (เช่น: file://d:/archive; file://../archive (พาธแบบสัมพันธ์จะสัมพันธ์กับไดเร็กทอรี bin ของ IBM Cognos); file://\\\\share\\folder (สำหรับการแบ่งใช้ของ Windows)) โดยดีฟอลต์ URI จะไม่ถูกกำหนดค่าซึ่งหมายความว่าจะปิดใช้งานฟังก์ชันเพื่อเก็บเอาต์พุตของรายงานแบบถาวรไปยังระบบไฟล์ นามแฝงรูท ระบุนามแฝงรูทหนึ่งรายการหรือมากกว่า นามแฝงรูทแต่ละรายการจะระบุตำแหน่งบนระบบไฟล์ที่จะใช้เป็นโฟลเดอร์รูท ตำแหน่งจะใช้รูปแบบการกำหนดแอดเดรส URI ของไฟล์ สำหรับนามแฝงรูทแต่ละรายการ ผู้ใช้ต้องระบุ URI สำหรับ Windows หรือ Unix ถ้าผู้ใช้จะเข้าถึงรูทเดียวกันจากทั้งเครื่อง Windows และ Unix ต้องระบุ URI ของทั้งสองชนิด URI ต้องอยู่ในรูปแบบ file://server/file-system-path โดยที่ server จะระบุชื่อของเซิร์ฟเวอร์ของรีซอร์สเครือข่าย และ file-system-path เป็นพาธแบบสัมบูรณ์ที่ระบุตำแหน่งของระบบไฟล์ที่มีอยู่ อิลิเมนต์เซิร์ฟเวอร์สนับสนุนเฉพาะสำหรับ Windows URI และใช้เพื่อระบุพาธ Windows UNC เช่น \\\\server\\share เมื่อต้องการระบุโลคัลพาธต้องตัดอิลิเมนต์โฮสต์ออก ตัวอย่างเช่น บน Windows file:///c:/file-system-path และบน Unix file:///file-system-path ไม่สนับสนุนพาธแบบสัมพันธ์ เช่น file:///../file-system-path การตั้งค่าคุกกี้ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ระบุการตั้งค่าคุกกี้ ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดการตั้งค่าคุกกี้
overrideOptions การสนับสนุนความสามารถเข้าถึงสำหรับรายงาน serviceDefaultOptions
ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ adaptive analytics service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ annotation service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ agent service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ batch report service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ตรวจสอบเคียวรีแบบดั้งเดิมสำหรับ batch report service ระบุว่าจะบันทึกเคียวรีแบบดั้งเดิมหรือไม่ ตั้งค่านี้เป็น true เคียวรีแบบดั้งเดิมจะถูกบันทึก เมื่อเป็น false จะไม่บันทึก ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ Content Manager Cache Service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ Content Manager service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ data advisor service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ data integration service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ dispatcher น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ data movement service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ delivery service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ event management service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ EV service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ graphics service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ human task service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับเซอร์วิส interactive discovery visualization น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ job service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ mobile service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ metadata service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ Metrics Manager service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ migration service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ monitor service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ planning administration console service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ planning data service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ PowerPlay service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ planning job service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ planning Web service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ presentation service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ query service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม เปิดใช้งานการติดตามการเรียกใช้เคียวรี ระบุว่าควรบันทึกข้อมูลการติดตามการเรียกใช้เคียวรีในล็อกไฟล์หรือไม่ เปิดใช้งานการติดตามการวางแผนเคียวรี ระบุว่าควรบันทึกข้อมูลการติดตามการพัฒนาของแผนเคียวรีในล็อกไฟล์หรือไม่ สร้างข้อคิดเห็นใน SQL ดั้งเดิม ระบุว่าควรบันทึกข้อคิดเห็นใน SQL ดั้งเดิมในล็อกไฟล์หรือไม่ เขียนโมเดลไปยังไฟล์ ใช้สำหรับการวินิจฉัย ระบุว่าควรเขียนเซอร์วิสเคียวรีโมเดลไปยังไฟล์เมื่อเรียกใช้เคียวรีหรือไม่ ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ report data service ระบุระดับการตรวจสอบสำหรับ Report data service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ relational metadata service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ report service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ตรวจสอบเคียวรีแบบดั้งเดิมสำหรับ report service ระบุว่าจะบันทึกเคียวรีแบบดั้งเดิมหรือไม่ ตั้งค่านี้เป็น true เคียวรีแบบดั้งเดิมจะถูกบันทึก เมื่อเป็น false จะไม่บันทึก ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ repository service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม ระดับการบันทึกการตรวจสอบสำหรับ system service น้อยที่สุด พื้นฐาน คำร้องขอ การติดตาม เต็ม
การบันทึก กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์การบันทึก ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อจัดเตรียมการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์การบันทึกและระบว่าเซิร์ฟเวอร์การบันทึกจะส่งข้อความบันทึกไปที่ใด เซิร์ฟเวอร์การบันทึกสามารถส่งข้อความไปยังเป้าหมายหลายชนิด เช่น ไฟล์ ฐานข้อมูล หรือ เซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต หมายเลขพอร์ตของเซิร์ฟเวอร์บันทึกแบบโลคัล ระบุพอร์ตที่ใช้โดยเซิร์ฟเวอร์บันทึกแบบโลคัล ต้องแน่ใจว่าคุณระบุพอร์ตที่ยังไม่ได้ใช้งาน เปิดใช้งาน TCP หรือไม่? ระบุว่าต้องการใช้โปรโตคอล TCP สำหรับการสื่อสารระหว่างคอมโพเนนต์ของผลิตภัณฑ์และเซิร์ฟเวอร์การบันทึกหรือไม่ ถ้าคุณต้องค่าของคุณสมบัตินี้เป็น true จะใช้การเชื่อมต่อ TCP (Transmission Control Protocol) เพื่อสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์การบันทึก TCP จะรับประกันการนำส่งแพ็กเก็ตในลำดับเดียวกันกับที่แพ็กเก็ตถูกส่ง ถ้าคุณตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น false จะใช้การเชื่อมต่อ UDP (User Datagram Protocol) เซิร์ฟเวอร์ผู้ทำงานของเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบโลคัล ระบุจำนวนสูงสุดของเธรดที่พร้อมใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบโลคัลเพื่อจัดการกับข้อความบันทึกที่เข้ามา ป้อนค่าระหว่าง 1 และ 20 ยิ่งจำนวนเธรดที่มากขึ้น หน่วยความที่จัดสรรให้กับการประมวลผลข้อความยิ่งมากขึ้น ปลายทาง ระบุอินสแตนซ์เฉพาะของอุปกรณ์ที่เซิร์ฟเวอร์การบันทึกส่งข้อความถึง ค่าของคุณสมบัตินี้จะระบุปลายทางที่เซิร์ฟเวอร์การบันทึกจะส่งข้อความที่สร้างขึ้นโดยผลิตภัณฑ์ถึง คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ค่านี้จะตั้งโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดของปลายทางสำหรับการบันทึกในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้เซิร์ฟเวอร์การบันทึกส่งข้อความไปยังฐานข้อมูล เมื่อต้องการส่งข้อความไปยังฐานข้อมูล ให้เพิ่มปลายทางฐานข้อมูลใหม่เข้ากับคอมโพเนนต์การบันทึกโดยใช้เมนูช็อตคัต จากนั้นกำหนดค่าคุณสมบัติสตริงการเชื่อมต่อสำหรับฐานข้อมูลโดยใช้เมนูช็อตคัตเพื่อเลือกชนิดของฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ที่เก็บเนื้อหาเป็นปลายทางได้ ฐานข้อมูลสามารถอยู่บนคอมพิวเตอร์รีโมต สำหรับการติดตั้งแบบกระจาย คุณสามารถใช้ฐานข้อมูลกลางเดียวเพื่อเก็บข้อความบันทึก ฐานข้อมูล ระบุชนิดของฐานข้อมูลสำหรับเซิร์ฟเวอร์การบันทึก คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ ซึ่งจะตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกชนิดฐานข้อมูลสำหรับเซิร์ฟเวอร์การบันทึกในหน้าต่าง Explorer ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการบันทึก ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server (Windows Authentication) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูลที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล คุณสามารถใช้ 'localhost' ได้ถ้าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์เดียวกัน ถ้ามีอินสแตนซ์ของ Microsoft SQL Server มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ที่รันอยู่บนคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ให้ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: "computername:port" หรือ "computername\\instancename" โดยที่พอร์ตจะถูกกำหนดโดยใช้ SQL Network Utility หรือ SQL Enterprise Manager สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่เอกสาร Microsoft SQL Server ระบุชื่อของฐานข้อมูล SQL Server ฐานข้อมูล Oracle กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการบันทึก ฐานข้อมูล Oracle (ขั้นสูง) กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล Oracle ที่มีอยู่ ระบุการเชื่อมต่อฐานข้อมูลนี้โดยใช้คำอธิบายชื่อ Oracle TNS ตัวอย่างเช่น (description=(address=(host=myhost)(protocol=tcp)(port=1521))(connect_data=(sid=orcl))) ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการบันทึก ฐานข้อมูล DB2 กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อหาฐานข้อมูล DB2 ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล เมื่อมีการระบุค่า จะทำการเชื่อมต่อฐานข้อมูลโดยตรงกับฐานข้อมูล (ชนิด 4) เมื่อปล่อยให้ค่าว่าง การเชื่อมต่อฐานข้อมูลจะถูกทำผ่านไคลเอ็นต์ฐานข้อมูล (ชนิด 2) ระบุ ID ผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลการบันทึก ระบุชื่อของฐานข้อมูล DB2 ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ฐานข้อมูล Informix Dynamic Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อใช้หาฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ที่มีอยู่ ต้องแน่ใจว่ามีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ระบุชื่อหรือ TCP/IP แอดเดรสของคอมพิวเตอร์ฐานข้อมูล ค่าดีฟอลต์ "localhost" ระบุว่าฐานข้อมูลอยู่บนคอมพิวเตอร์นี้ ระบุชื่อของฐานข้อมูล Informix Dynamic Server ป้อนชื่อของฐานข้อมูล ไฟล์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้เซิร์ฟเวอร์การบันทึกส่งข้อความไปยังไฟล์ โดยดีฟอลต์ ข้อความบันทึกทั้งหมดจะถูกส่งโดยเซิร์ฟเวอร์การบันทึกไปยังไฟล์ที่เก็บไว้บนโลคัลคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่ข้อความบันทึกหรือข้อความทั้งหมดที่ระบุถึงปัญหา บางข้อความเป็นเพียงข้อมูล ขณะที่ข้อความอื่นจะช่วยวินิจฉัยปัญหา ตำแหน่งของล็อกไฟล์ ระบุชื่อและตำแหน่งของไฟล์ที่มีข้อความบันทึกหรือข้อความ ขนาดสูงสุดของล็อกไฟล์ในหน่วย MB ระบุขนาดสูงสุดของล็อกไฟล์ในหน่วย MB เมื่อเกินขีดจำกัดนี้ ไฟล์สำรองใหม่จะถูกสร้างขึ้น ป้อนตัวเลขระหว่าง 1 และ 50 จำนวนสูงสุดของล็อกไฟล์ที่เต็ม ระบุจำนวนสูงสุดของล็อกไฟล์สำรอง เมื่อเกินขีดจำกัดนี้ ล็อกไฟล์เก่าจะถูกลบออก ไฟล์สำรองแต่ละไฟล์จะสร้างขึ้นโดยใช้นามสกุลไฟล์แบบเรียงลำดับ เช่น 'filename.1', 'filename.2' ใช้การเข้ารหัส UTF8 หรือไม่? ระบุว่าจะใช้การเข้ารหัสชุดอักขระ UTF-8 สำหรับข้อความบันทึกหรือไม่ ตั้งค่านี้เป็น true เพื่อใช้การเข้ารหัส UTF-8 ไม่เช่นนั้นจะใช้การเข้ารหัสดั้งเดิม Syslog กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้เซิร์ฟเวอร์การบันทึกส่งข้อความไปยัง syslog ไม่ใช่ข้อความบันทึกหรือข้อความทั้งหมดที่ระบุถึงปัญหา บางข้อความเป็นเพียงข้อมูล ขณะที่ข้อความอื่นจะช่วยวินิจฉัยปัญหา ชื่อโฮสต์ Syslog ระบุชื่อโฮสต์ของคอมพิวเตอร์ที่เก็บบันทึกของระบบ ถ้าคุณใช้ชื่อแบบเต็ม ต้องแน่ใจว่าเครือข่ายของคุณถูกตั้งค่าเพื่อแปลงชื่อ Syslog facility ระบุส่วนของเซอร์วิสที่คุณสามารถบันทึกข้อความ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อแสดงรายการข้อความบันทึกสำหรับเครื่องอำนวยความสะดวก (อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ โปรโตคอล หรือโมดูลหรือซอฟต์แวร์ระบบ) ที่สร้างข้อความ KERN USER MAIL DAEMON AUTH SYSLOG LPR NEWS UUCP CRON AUTHPRIV FTP LOCAL0 LOCAL1 LOCAL2 LOCAL3 LOCAL4 LOCAL5 LOCAL6 LOCAL7 พิมพ์ syslog facility หรือไม่? ระบุว่าต้องการพิมพ์ syslog facility เป็นส่วนของข้อความบันทึกหรือไม่ ตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความบันทึกจะรวมชื่อ facility Event log กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่อนุญาตให้เซิร์ฟเวอร์การบันทึกส่งข้อความไปยัง Windows Event log ไม่ใช่ข้อความบันทึกทั้งหมดที่ระบุถึงปัญหา บางข้อความเป็นเพียงข้อมูล ขณะที่ข้อความอื่นจะช่วยวินิจฉัยปัญหา แหล่งที่มาของ NT Event log ระบุชื่อของแอ็พพลิเคชันต้นทางที่สร้างข้อความ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปลี่ยนชื่อของแหล่งที่มา ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่ามีประโยชน์ที่จะใช้ชื่อคอมโพเนนต์ IBM Cognos โดยดีฟอลต์ ชื่อแอ็พพลิเคชันคือ IBM Cognos เซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่กำหนดค่าการเชื่อมต่อ TCP ไปยังเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต ใช้เซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมตเพื่อรวบรวมและรวมข้อความบันทึกจากเซิร์ฟเวอร์การบันทึกบนคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในสภาวะแวดล้อมแบบกระจาย ข้อความบันทึกทั้งหมดจะถูกส่งโดยโลคัลคอมโพเนนต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบโลคัลจากนั้นส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต ชื่อโฮสต์และพอร์ตของเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต ระบุชื่อโฮสต์และพอร์ตของเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต เซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมตอยู่บนคอมพิวเตอร์อื่น ใช้ไวยากรณ์ต่อไปนี้: host:port. ความล่าช้าในการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมตอีกครั้ง ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่จะรอระหว่างความพยายามเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมตที่ล้มเหลว ตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็นศูนย์เพื่อปิดใช้งานความพยายามเชื่อมต่อใหม่ เปิดใช้งาน SSL หรือไม่? ระบุว่าจะใช้โปรโตคอล SSL เพื่อสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมตหรือไม่ ถ้าคุณตั้งค่าคุณสมบัตินี้เป็น true จะใช้ SSL และเปิดใช้งานการเข้ารหัสสำหรับการสื่อสารกับเซิร์ฟเวอร์การบันทึกแบบรีโมต
Metadata Information Service URI ระบุ URI ไปยัง Metadata Information Service ค่าของพารามิเตอร์นี้สามารถเป็น URI แบบสัมพันธ์หรือแบบสัมบูรณ์ พารามิเตอร์เป็น URI แบบสัมพันธ์ถ้าค่าขึ้นต้นด้วยอักขระ '/ ในกรณีนี้ URI สัมพันธ์กับค่า URI ของพารามิเตอร์ "Gatteway" เมื่อต้องการใช้เซอร์วิสข้อมูลเมตาภายนอกให้ระบุ URI แบบสัมบูรณ์ไปยังเซอร์วิสดังกล่าว IBM Business Glossary URI ระบุ URI ไปยังเซอร์วิส IBM Business Glossary
ความสามารถในการประมวลผล ระบุความสามารถในการประมวลผลของ dispatcher นี้ที่สัมพันธ์กับ dispatchers อื่นในกลุ่มของ dispatcher ใช้ความสามารถเพื่อระบุความเร็วที่สัมพันธ์กันของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในกลุ่ม ตัวอย่างเช่น ถ้า dispatcher แรกมีความเร็วเป็นสองเท่านั้นเครื่องที่สอง ให้ตั้งความสามารถของเครื่องแรกเป็น 2.0 และความสามารถของเครื่องที่สองเป็น 1.0 คำร้องขอที่เข้ามาจะถูกส่งไปยัง dispatcher เหล่านี้ในสัดส่วนที่สัมพันธ์กัน (2-to-1) นั่นคือ dispatcher แรกจะได้รับสองในสามของคำร้องขอ โหมด Load balancing Weighted Round Robin Cluster Compatible ตำแหน่งอ็อบเจ็กต์ชั่วคราว กำหนดตำแหน่งของอ็อบเจ็กต์ชั่วคราวที่สร้างขึ้นระหว่างการรัน Interactive Report Content Store Server File System อายุของอ็อบเจ็กต์ชั่วคราว กำหนดอายุของอ็อบเจ็กต์ชั่วคราวที่บันทึกไว้บน Local File System ระหว่างการรัน Interactive Report กลุ่มเซิร์ฟเวอร์ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส adaptive analytics (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่คำร้องขอได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด จำนวนของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics ที่สามารถเริ่มทำงานใด้ในเวลาหนึ่ง จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส adaptive analytics สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high-affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในชั่วโมงที่มีการทำงานสูง จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส adaptive analytics ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส adaptive analytics จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส batch report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส batch report คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส batch report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส Batch report คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส batch report ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในเวลาหนึ่ง ขีดจำกัด Governor (MB) ระบุขนาดสูงสุดของข้อมูลที่ส่งคืน (MB) จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส metadata สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส matadata คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส metadata สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส metadata คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ ขีดจำกัดเวลาคิวของเซอร์วิสข้อมูลเมตา (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่คำร้องขอสามารถเข้าคิวก่อนที่จะเกินช่วงเวลา timeout เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิสข้อมูลเมตา (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่คำร้องขอได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส PowerPlay ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส PowerPlay สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส PowerPlay คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส PowerPlay ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส PowerPlay สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส PowerPlay คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ ขีดจำกัดเวลาคิวของเซอร์วิส PowerPlay (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่คำร้องขอ PowerPlay สามารถเข้าคิวก่อนที่จะเกินช่วงเวลา timeout เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส PowerPlay (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่รายงานได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด ขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่ถูกคลายการบีบอัดสำหรับเซอร์วิส Power Play ในหน่วย MB ระบุจำนวนสูงสุดของข้อมูลที่สามารถวางในสิ่งที่แนบโดยเซอร์วิส Power Play ในหน่วย MB ขนาดที่ใช้เป็นขนาดของข้อมูลก่อนที่จะถูกบีบอัด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ขนาดของสิ่งที่แนบมีขนาดไม่จำกัด การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส relational metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส relational metadata สามารถใช้พร้อมกันเพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส relational metadata เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส relational metadata (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่ภารกิจสามารถรันได้ก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส relational metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส relational metadata สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส report คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส report คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการชายน์สำหรับเซอร์วิส report ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นได้ตลอดเวลา ขีดจำกัดเวลาคิวของเซอร์วิส report (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่คำร้องขอสามารถเข้าคิวก่อนที่จะเกินช่วงเวลา timeout เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส report (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่รายงานได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด ขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่ถูกคลายการบีบอัดสำหรับเซอร์วิส report ในหน่วย MB ระบุจำนวนสูงสุดของข้อมูลที่สามารถวางในสิ่งที่แนบโดยเซอร์วิส report ในหน่วย MB ขนาดที่ใช้เป็นขนาดของข้อมูลก่อนที่จะถูกบีบอัด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ขนาดของสิ่งที่แนบมีขนาดไม่จำกัด เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส batch report (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่รายงานได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด ขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่ถูกคลายการบีบอัดสำหรับเซอร์วิส batch report ในหน่วย MB ระบุจำนวนสูงสุดของข้อมูลที่สามารถวางในสิ่งที่แนบโดยเซอร์วิส batch report ในหน่วย MB ขนาดที่ใช้เป็นขนาดของข้อมูลก่อนที่จะถูกบีบอัด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ขนาดของสิ่งที่แนบมีขนาดไม่จำกัด จำนวนของฮ็อตสปอตที่สร้างขึ้นในแผนภูมิโดยเซอร์วิส batch report ระบุจำนวนสูงสุดของฮ็อตสปอตที่สร้างขึ้นในแผนภูมิ ใช้ค่า 0 เมื่อคุณต้องการปิดใช้งานการสร้างชาร์ตฮ็อตสป็อต ใช้ค่าดีฟอลต์ที่เป็น Unlimited เพื่อสร้างฮ็อตสปอตทั้งหมดในแผนภูมิ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของฮ็อตสปอตของแผนภูมิที่จะสร้างขึ้นโดยกระบวนการเซอร์วิส batch report จำนวนของฮ็อตสปอตที่สร้างขึ้นในแผนภูมิโดยเซอร์วิส report ระบุจำนวนสูงสุดของฮ็อตสปอตที่สร้างขึ้นในแผนภูมิ ใช้ค่า 0 เมื่อคุณต้องการปิดใช้งานการสร้างชาร์ตฮ็อตสป็อต ใช้ค่าดีฟอลต์ที่เป็น Unlimited เพื่อสร้างฮ็อตสปอตทั้งหมดในแผนภูมิ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของฮ็อตสปอตของแผนภูมิที่จะสร้างขึ้นโดยกระบวนการเซอร์วิส report การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิสงานระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสงานสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสงาน ขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่ถูกคลายการบีบอัดสำหรับเซอร์วิสการนำส่งในหน่วย MB ระบุขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่คลายการบีบอัดในหน่วย MB เซอร์วิสการนำส่งจะบีบอัดสิ่งที่แนบที่มีขนาดใหญ่กว่าขนาดสูงสุดก่อนที่จะส่ง ใช้ค่าที่เป็น 0 เพื่อปิดใช้งานการบีบอัดสิ่งที่แนบ ใช้ค่า nil เพื่อบีบอัดสิ่งที่แนบทั้งหมด ตั้งค่าที่ไม่ใช่ nil ไม่ใช่ศูนย์จะเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อส่งอีเมลที่มีสิ่งที่แนบที่มีขนาดใหญ่ เช่น เอาต์พุตของรายงาน การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิสเอเจนต์ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสเอเจนต์สามารถใช้พร้อมกันเพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสเอเจนต์ ขนาดสูงสุดของสิ่งที่แนบกับอีเมลที่ถูกคลายการบีบอัดสำหรับเซอร์วิสเอเจนต์ในหน่วย MB ระบุจำนวนสูงสุดของข้อมูลที่สามารถวางในสิ่งที่แนบโดยเซอร์วิสเซอร์วิสในหน่วย MB ขนาดที่ใช้เป็นขนาดของข้อมูลก่อนที่จะถูกบีบอัด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ขนาดของสิ่งที่แนบมีขนาดไม่จำกัด การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิสการนำส่งระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการนำส่งสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสการนำส่ง ขนาดสูงสุดของข้อความอีเมลสำหรับเซอร์วิสการนำส่งในหน่วย MB ระบุจำนวนสูงสุดของข้อมูลที่สามารถวางในอีเมลโดยเซอร์วิสการนำส่งในหน่วย MB ขนาดที่ใช้เป็นขนาดของข้อมูลหลังจากถูกบีบอัด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ขนาดของอีเมลมีขนาดไม่จำกัด การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิสการรวมข้อมูลระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการรวมข้อมูลสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสการรวมข้อมูล การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส planning administration console ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning administration console สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส planning administration console การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส planning runtime ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning runtime สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส planning runtime การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส planning task ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning task สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส planning task การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส Metrics Manager ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส Metrics Manager สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส Metrics Manager การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส mobile ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส mobile สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส mobile การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส planning data ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning data สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส planning data การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิส Content Manager ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส Content Manager สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส Content Manager การเชื่อมต่อสูงสุดสำหรับเซอร์วิสการโอนย้ายระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการโอนย้ายสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสการโอนย้าย แสดงหมายเหตุเซลล์ ระบุว่าความแสดงหมายเหตุเซลล์ในการเขียน studios หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานการเข้าถึงไอเท็มข้อมูลเมตาหมายเหตุของเซลล์ใน Analysis Studio, Event Studio, Query Studio และ Report Studio การเปิดใช้งานการเข้าถึงจะอนุญาตให้ผู้เขียนแสดงหมายเหตุเหล่านี้ในรายงาน เคียวรี และเอเจนต์ของตน โดยดีฟอลต์ หมายเหตุของเซลล์จะถูกซ่อนอยู่ การหมดเวลาแคชการเข้าถึง E-List (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่รายการแคชสิทธิ์การเข้าถึง e-list สามารถอยู่ในแคชก่อนที่จะต้องคำนวณใหม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเพิ่มหรือลดเวลาที่สิทธิ์การเข้าถึง E-list สามารถอยู่ในหน่วยความจำก่อนที่จะถูกรีเฟรชจากฐานข้อมูลแอ็พพลิเคชัน สำหรับการอัพเดตที่บ่อยขึ้น คุณสามารถกำหนดช่วงเวลาการหมดเวลาให้สั้นลง โดยดีฟอลต์ สิทธิ์การเข้าถึงจะถูกรีเฟรชชั่วโมงละครั้ง (ทุก 3600 วินาที) จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส planning data ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส planning data ที่สามารถเริ่มต้นโดย dispatcher ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อควบคุมจำนวนของกระบวนการเซอร์วิส planning data ที่กำลังรันบนเครื่องโลคัล เมื่อเริ่มทำงาน จะเริ่มต้นหนึ่งกระบวนการและเมื่อวอลุ่มที่ร้องขอเพิ่มขึ้น อาจมีการเริ่มกระบวนการเพิ่มเติม โดยดีฟอลต์ จำนวนของกระบวนการจะถูกจำกัดไว้ 1 กระบวนการ ชั่วโมงเริ่มต้นช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุชั่วโมงของวันที่เริ่มต้นเวลาที่ความต้องการทำงานไม่สูง ชั่วโมงเริ่มต้นช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุชั่วโมงของวันที่เริ่มต้นเวลาที่ความต้องการทำงานสูง อายุของการจัดเก็บเวอร์ชันของเอกสารแบบเป็นช่วงเวลา ระบุอายุสูงสุดดีฟอลต์ของอ็อบเจ็กต์ documentVersion ที่จะเก็บรักษาไว้ในเอกสารแบบเป็นช่วงเวลา ค่านี้ใช้เพื่อสร้างกฎการจัดเก็บเอกสารใหม่เป็นช่วงเวลา จำนวนการจัดเก็บเวอร์ชันของเอกสารแบบเป็นช่วงเวลา ระบุจำนวนสูงสุดดีฟอลต์ของอ็อบเจ็กต์ documentVersion ที่จะเก็บรักษาไว้ในเอกสารแบบเป็นช่วงเวลา ค่านี้ใช้เพื่อสร้างกฎการจัดเก็บเอกสารใหม่เป็นช่วงเวลา จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิสเอเจนต์ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสเอเจนต์สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส batch report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high-affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส batch report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จะจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส batch report จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส batch report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส batch report ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในชั่วโมงที่มีการทำงานสูง จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส Content Manager ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส Content Manager สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิสการรวมข้อมูลระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการรวมข้อมูลสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิสการนำส่งระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการนำส่งสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิสกราฟิกสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ high affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสกราฟิก คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิสกราฟิกสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสกราฟิก คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสกราฟิกสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high-affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิสกราฟิกสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิสกราฟิก คำร้องขอ low affinity จะสร้างบริบทสำหรับคำร้องขอที่อาจถูกติดตามโดยข้อมูลการแคช โดยทั่วไป คำร้องขอ low affinity ใช้เวลาในการประมวลผลนานกว่าคำร้องขอ high affinity ที่ตามมา ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งคำร้องขอ low affinity ไปยังกระบวนการที่เฉพาะเจาะจงเนื่องจากคำร้องขอเหล่านี้ไม่ได้ใช้ข้อมูลที่แคชไว้ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิสกราฟิกที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในเวลาหนึ่ง จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิสกราฟิกระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิสกราฟิกที่สามารถเริ่มต้นโดย dispatcher ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อควบคุมจำนวนของกระบวนการเซอร์วิสกราฟิกที่กำลังรันบนเครื่องโลคัล เมื่อเริ่มทำงาน จะเริ่มต้นหนึ่งกระบวนการและเมื่อวอลุ่มที่ร้องขอเพิ่มขึ้น อาจมีการเริ่มกระบวนการเพิ่มเติม โดยดีฟอลต์ จำนวนของกระบวนการจะถูกจำกัดไว้ 1 กระบวนการ ขีดจำกัดเวลาคิวของเซอร์วิสกราฟิก (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่คำร้องขอสามารถเข้าคิวก่อนที่จะเกินช่วงเวลา timeout เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิสกราฟิก (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่ผ่านไปสูงสุดที่กราฟิกได้รับอนุญาตให้รันก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher ค่าดีฟอลต์ที่เป็น 0 หมายความว่าไม่ใช้ขีดจำกัด จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิสงานระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสงานสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส mobile ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส mobile สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส metadata ที่สามารถเริ่มต้นโดย dispatcher ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อควบคุมจำนวนของกระบวนการเซอร์วิส metadata ที่กำลังรันบนเครื่องโลคัล เมื่อเริ่มทำงาน จะเริ่มต้นหนึ่งกระบวนการและเมื่อวอลุ่มที่ร้องขอเพิ่มขึ้น อาจมีการเริ่มกระบวนการเพิ่มเติม โดยดีฟอลต์ จำนวนของกระบวนการจะถูกจำกัดไว้ 1 กระบวนการ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส metadata ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในชั่วโมงที่มีการทำงานสูง จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส metadata สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high-affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส metadata ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส metadata สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส metadata จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิสการโอนย้ายระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิสการโอนย้ายสามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส Metrics Manager ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส Metrics Manager สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส planning administration console ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning administration console สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส planning data ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning data สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส planning data ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส planning data ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้น จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส planning runtime ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning runtime สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อเซอร์วิส planning task ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการของเซอร์วิส planning task สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส report จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส report สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จะจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส report จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส report ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส report ที่สามารถเริ่มต้นโดย dispatcher ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง จำนวนวินาทีสูงสุดของที่รายงานและอิลิเมนต์รายงานสามารถอยู่ในแคช ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดของที่รายงานและอิลิเมนต์รายงานสามารถอยู่ในแคช การตั้งค่าเป็น 0 จะอนุญาตให้อ็อบเจ็กต์อยู่ในแคชตลอดไป จำนวนสูงสุดของรายงานและอิลิเมนต์รายงานที่สามารถโอเวอร์โฟลว์ไปยังดิสก์ ระบุจำนวนสูงสุดของรายงานและอิลิเมนต์รายงานที่สามารถโอเวอร์โฟลว์ไปยังโลคัลดิสก์ การตั้งค่าเป็น 0 จะอนุญาตให้เก็บรายงานและอิลิเมนต์รายงานจำนวนไม่จำกัดบนดิสก์ จำนวนสูงสุดของรายงานและอิลิเมนต์รายงานที่สามารถเก็บในหน่วยความจำ ระบุจำนวนสูงสุดของรายงานและอิลิเมนต์รายงานที่สามารถเก็บในหน่วยความจำ การตั้งค่าเป็น 0 จะอนุญาตให้เก็บรายงานและอิลิเมนต์รายงานจำนวนไม่จำกัดในหน่วยความจำ การเข้ารหัสอักขระ PDF สำหรับเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ ระบุการเข้ารหัสอักขระสำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ อัตโนมัติ ฟอนต์ Windows1252 การเข้ารหัสอักขระ PDF สำหรับเซอร์วิสรายงาน ระบุการเข้ารหัสอักขระสำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงาน อัตโนมัติ ฟอนต์ Windows1252 อ็อพชันเพื่ออนุญาตให้เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์สามารถฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF ที่สร้างขึ้น ระบุว่าเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ควรฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF ที่สร้างขึ้นหรือไม่ อนุญาต อัตโนมัติ ไม่อนุญาต อ็อพชันเพื่ออนุญาตให้เซอร์วิสรายงานสามารถฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF ที่สร้างขึ้น ระบุว่าเซอร์วิสรายงานควรฝังฟอนต์ในเอกสาร PDF ที่สร้างขึ้นหรือไม่ อนุญาต อัตโนมัติ ไม่อนุญาต ชนิดของการบีบอัด PDF สำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ ระบุชนิดของการบีบอัด PDF สำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ คลาสิก พื้นฐาน ปรับปรุง ขั้นสูง เต็ม ชนิดของการบีบอัด PDF สำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงาน ระบุชนิดของการบีบอัด PDF สำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงาน คลาสิก พื้นฐาน ปรับปรุง ขั้นสูง เต็ม ระดับของการบีบอัดเนื้อหาสำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ ค่าที่สูงขึ้นหมายความว่าควรใช้กลยุทธการบีบอัดที่เข้มงวดมากขึ้น ตัวเลขต้องเป็นจำนวนเต็มที่อยู่ระหว่าง 0 และ 9 ค่าที่เป็น 0 หมายถึงเอกสารไม่ควรถูกบีบอัด ขณะที่ค่า 9 หมายถึงการบีบอัดสูงสุด ระดับของการบีบอัดเนื้อหาสำหรับเอกสาร PDF ที่สร้างโดยเซอร์วิสรายงาน ค่าที่สูงขึ้นหมายความว่าควรใช้กลยุทธการบีบอัดที่เข้มงวดมากขึ้น ตัวเลขต้องเป็นจำนวนเต็มที่อยู่ระหว่าง 0 และ 9 ค่าที่เป็น 0 หมายถึงเอกสารไม่ควรถูกบีบอัด ขณะที่ค่า 9 หมายถึงการบีบอัดสูงสุด จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส data movement สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานไม่สูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส data movement คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส data movement สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานไม่สูง คุณสมบัตินี้จะจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส data movement จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส data movement ที่สามารถเริ่มต้นโดย dispatcher ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานไม่สูง ขีดจำกัดเวลาคิวของเซอร์วิส data movement (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีที่คำร้องขอ data movement สามารถเข้าคิวก่อนที่จะเกินช่วงเวลา timeout เวลาการประมวลผลสูงสุดสำหรับเซอร์วิส data movement (วินาที) ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่ภารกิจสามารถรันได้ก่อนที่จะถูกยกเลิกโดย dispatcher dispatcher จะบันทึกข้อผิดพลาด (DPR-ERR-2087) ที่ระบุว่าการประมวลผลภารกิจถูกยกเลิก เนื่องจากเกินชุดของขีดจำกัดเวลาการประมวลผล คำร้องขอที่สองกับการสนทนาที่เกิดขีดจำกัดเวลาจะส่งคืนข้อความแสดงข้อผิดพลาด ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้ประมวลผลรายงานเสร็จสมบูรณ์ โดยไม่คำนึงถึงเวลาที่ต้องใช้ จำนวนของการเชื่อมต่อ high affinity สำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส data movement สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ high affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จำกัดจำนวนของคำร้องขอเหล่านี้ที่สามารถถูกประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส data movement คำร้องขอ high affinity เป็นคำร้องขอที่เชื่อมโยงกับกระบวนการที่เฉพาะเจาะจง โดยทั่วไปคำร้องขอเหล่านี้จะถูกประมวลผลเร็วกว่าคำร้องขอ low affinity จำนวนของการเชื่อมต่อ low affinity สำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนของการเชื่อมต่อที่กระบวนการเซอร์วิส data movement สามารถใช้เพื่อประมวลผลคำร้องขอ low affinity ระหว่างชั่วโมงที่มีการทำงานสูง คุณสมบัตินี้จะจำกัดจำนวนของคำร้องขอ low affinity ที่สามารถประมวลผลพร้อมกันโดยกระบวนการเซอร์วิส data movement จำนวนสูงสุดของกระบวนการสำหรับเซอร์วิส data movement ระหว่างช่วงเวลาที่มีการทำงานสูง ระบุจำนวนสูงสุดของกระบวนการเซอร์วิส data movement ที่ dispatcher สามารถเริ่มต้นใด้ในชั่วโมงที่มีการทำงานสูง ขีดจำกัดหน่วยความจำสำหรับเซอร์วิส content manager cache เป็นเปอร์เซ็นต์ของหน่วยความจำฮีพ JVM ทั้งหมด ระบุขีดจำกัดการใช้หน่วยความจำสำหรับเซอร์วิส content manager cache เป็นเปอร์เซ็นต์ของหน่วยความจำฮีพ JVM ทั้งหมด การตั้งค่าคุณสมบัติเป็น 0 จะปิดใช้งานการแคช อายุของ human task ที่เสร็จสมบูรณ์ ระบุอายุของ human tasks ที่เสร็จสมบูรณ์ อายุของ annotation ที่เสร็จสมบูรณ์ ระบุอายุของ annotation การหมดเวลาการเชื่อมต่อที่ไม่ใช้งาน (วินาที) คุณสมบัตินี้ระบุช่วงเวลาการหมดเวลาการเชื่อมต่อฐานข้อมูลที่ไม่ใช้งานในหน่วยวินาที ตั้งค่าเป็น -1 เพื่อปิดใช้งานการหมดเวลา ห้ามเริ่มต้นไดนามิกคิวบ์เมื่อเซอร์วิสเริ่มทำงาน (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุว่าไดนามิกคิวบ์จะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติหรือไม่เมื่อเซอร์วิสเริ่มทำงาน หมดเวลาคำสั่งการควบคุมดูแลไดนามิกคิวบ์ (วินาที) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุช่วงเวลาการหมดเวลา ในหน่วยวินาที สำหรับคำสั่งการควบคุมดูแลไดนามิกคิวบ์ ใช้ค่าที่เป็น 0 เมื่อคุณต้องการอนุญาตให้คำสั่งประมวลผลเสร็จสมบูรณ์ โดยไม่คำนึงถึงเวลาที่ต้องใช้ เวลาการประมวลผลเคียวรีที่น้อยที่สุดก่อนที่ชุดของผลลัพธ์จะถูกพิจารณาสำหรับการแคช (มิลลิวินาที) ระบุเวลาการประมวลผลเคียวรีที่น้อยที่สุดในหน่วยมิลลิวินาที ก่อนที่ชุดของผลลัพธ์จะถูกพิจารณาสำหรับการแคช ขนาดฮีพ JVM เริ่มต้นสำหรับเซอร์วิสเคียวรี (MB) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุขนาดเริ่มต้น ในหน่วย MB ของฮีพ Java Virtual Machine (JVM) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ขีดจำกีดขนาดฮีพ JVM สำหรับเซอร์วิสเคียวรี (MB) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุขนาดสูงสุด ในหน่วย MB ของฮีพ Java Virtual Machine (JVM) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ขนาด JVM nursery เริ่มต้น (MB) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุขนาดเริ่มต้นของ nursery ในหน่วย MB ของ Java Virtual Machine (JVM) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ขีดจำกัดของขนาด JVM nursery (MB) (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุขนาดสูงสุด ในหน่วย MB ของ Java Virtual Machine (JVM) nursery (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) นโยบายการรวมรวม JVM garbage (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุนโยบายการรวบรวม garbage ที่ใช้เพื่อจัดการกับหน่วยเก็บข้อมูลฮีพ JVM (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) สมดุลย์ กำหนดเอง ทั่วไป อาร์กิวเมนต์ JVM เพิ่มเติมสำหรับเซอร์วิสเคียวรี (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุอาร์กิวเมนต์อื่นที่ควบคุม Java Virtual Machine (JVM) อาร์กิวเมนต์อาจต่างกันขึ้นอยู่กับ JVM (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) จำนวนของรอบการรวบรวม garbage ที่ส่งเอาต์พุตไปยังบันทึกแบบ verbose (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุจำนวนของรอบของการรวบรวม garbage ที่บันทึกไว้ ถ้าเปิดใช้งานการบันทึกการรวมรวม garbage แบบ verbose (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ปิดใช้งานการบันทึกการรวมรวม JVM verbose garbage (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService) ระบุว่าข้อมูลการรวบรวม garbage จะถูกบันทึกในล็อกไฟล์หรือไม่ (ต้องการการรีสตาร์ท QueryService)
การแม็พเกตเวย์ ประกอบด้วยการแม็พจากเกตเวย์ PowerPlay ภายนอกกับ PowerPlay dispatcher ภายในสำหรับเซอร์วิสนี้ Collaboration discovery URI ระบุ discovery URI สำหรับเซอร์วิสการทำงานร่วมกันภายนอก กำหนดคอนฟิกไดนามิกคิวบ์ ประกอบด้วยข้อมูลคอนฟิกูเรชันสำหรับไดนามิกคิวบ์ JMX proxy host dispatchers ประกอบด้วยรายการของ dispatchers ที่สามารถโฮสต์พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ Java Management Extensions (JMX) ในลำดับที่ต้องการ
เซอร์วิส IBM Cognos กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซอร์วิส IBM Cognos ใช้คุณสมบัติเหล่านี้เพื่อระบุจำนวนของรีซอร์สที่เซอร์วิส IBM Cognos ใช้ คอนฟิกูเรชัน ระบุเท็มเพลตที่ใช้เพื่อกำหนดค่าเซอร์วิส IBM Cognos คุณสมบัตินี้จะถูกตั้งค่าโดยอัตโนมัติเมื่อคุณเลือกเท็มเพลตสำหรับเซอร์วิส IBM Cognos คุณไม่สามารถเปลี่ยนค่าของคุณสมบัตินี้ในหน้าต่างนี้ ถ้าคุณต้องการใช้เท็มเพลตอื่น ในหน้าต่าง Explorer ให้คลิกขวาที่เซอร์วิสและคลิก Delete คลิกขวาที่เซอร์วิส IBM Cognos คลิก New resource, Configuration ป้อนชื่อรีซอร์สแล้วเลือกเท็มเพลตจากรายการ WebSphere Liberty Profile กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเท็มเพลตคอนฟิกูเรชันที่ใช้สำหรับ WebSphere Liberty Profile ลงทะเบียน เริ่มต้น หยุด รีสตาร์ท หน่วยความจำสูงสุดสำหรับ Websphere Liberty Profile ในหน่วย MB คุณสมบัติขั้นสูง คุณสมบัติเหล่านี้ถูกใช้เพื่อปรับแต่งเซิร์ฟเวอร์ WebSphere Liberty Profile (WLP) ค่าคุณสมบัติเป็น 'coreThreads' แสดงถึงจำนวนเธรดที่เซิร์ฟเวอร์ WLP เริ่มทำงาน ค่า 'maxThreads' แสดงจำนวนเธรดสูงสุดที่สามารถเชื่อมโยงกับเซิร์ฟเวอร์ WLP กำหนดค่าเหล่านี้เองตามความพร้อมใช้งานรีซอร์สของฮาร์ดแวร์ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม อ้างอิงเอกสารคู่มือของเซิร์ฟเวอร์ WLP (http://www-01.ibm.com/support/knowledgecenter/?lang=en#!/SSEQTP_8.5.5/com.ibm.websphere.wlp.doc/ae/twlp_tun.html?cp=SSEQTP_8.5.5%2F1-3-11-0-7) เปิดใช้งาน IBM Lightweight Third-Party Authentication (LTPA) หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งาน IBM Lightweight Third-Party Authentication สำหรับ IBM Cognos Analytics หรือไม่ คุณสามารถกำหนดค่าคอมโพเนนต์ IBM Cognos Analytics เพื่อใช้ IBM Lightweight Third-Party Authentication (LTPA) ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งาน LTPA สำหรับ IBM Cognos Analytics ตัวแปรสภาวะแวดล้อม ระบุชุดของตัวแปรสภาวะแวดล้อมที่จะผ่านไปยังเซอร์วิส bootstrap ผู้ใช้ต้องระบุชื่อและค่าสำหรับตัวแปรสภาวะแวดล้อมแต่ละรายการ เปิดใช้งานเซอร์วิสเอเจนต์หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสเอเจนต์หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสเอเจนต์บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสเอเจนต์จะประมวลผลเอเจนต์ ถ้าตรงกับเงื่อนไขสำหรับเอเจนต์ เซอร์วิสเอเจนต์จะส่งสัญญาณให้เซอร์วิสมอนิเตอร์ประมวลผลภารกิจ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสเอเจนต์จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Annotation หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส annotation หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส annotation บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสนี้จะอนุญาตให้สามารถเพิ่มข้อคิดเห็นเข้ากับรายงาน โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส annotation จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานแบบแบตช์บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์จะจัดการกับคำร้องขอที่อยู่เบื้องหลังสำหรับการประมวลผลรายงานและจัดเตรียมเอาต์พุตแทนเซอร์วิสมอนิเตอร์ เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ทำงานเหมือนกับเซอร์วิสรายงาน ยกเว้นจะจัดการกับการประมวลผลที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Content Manager หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส Content Manager หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส Content Manager บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส Content Manager เป็นเซอร์วิสที่ใช้โดยเซอร์วิสอื่น เพื่อจัดเก็บจัดระเบียบ และดึงข้อมูลแอ็พพลิเคชัน เช่น คอนฟิกูเรชันระบบ โมเดล ข้อมูลจำเพาะของรายงาน เอาต์พุตของรายงาน กำหนดเวลา แอคเคาต์ผู้ใช้ กลุ่ม ที่ติดต่อ รายการการแจกจ่าย และแหล่งข้อมูล การติดตั้งแบบกระจายอาจมีเซอร์วิส Content Manager หนึ่งเซอร์วิสที่แอ็คทีฟ และเซอร์วิส Content Manager หนึ่งตัวหรือมากกว่าที่สแตนด์บาย โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส Content Manager จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสการรวมข้อมูลหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสการรวมข้อมูลหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสการรวมข้อมูลบนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสการรวมข้อมูลจะจัดการกับภารกิจที่ได้รับข้อมูลจากแหล่งข้อมูล, คลายบีบอัดข้อมูลจากที่เก็บข้อมูล, คำนวณและแปลงข้อมูลใหม่ และโหลดเนื้อหาสำหรับใช้โดย Metrics Manager ในพอร์ทัล โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสการรวมข้อมูลจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Data Manager SOAP หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส Data Manager SOAP หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส Data Manager SOAP บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส Data Manager SOAP จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Data movement หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส data movement หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส data movement บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส data movement ถูกใช้สำหรับคำร้องขอ CEBA-based สำหรับการเคลื่อนย้ายข้อมูล โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส data movement จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสการนำส่งหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสการนำส่งหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสการนำส่งบนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสการนำส่งจะส่งเอเจนต์แทนเซอร์วิสอื่น เช่น เซอร์วิสรายงาน เซอร์วิสวาน หรือเซอร์วิสเอเจนต์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสการนำส่งจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Dispatcher หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสที่เกี่ยวข้องกับ dispatcher หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานหลายเซอร์วิสบนโลคัลคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมี เซอร์วิสรายงานแบบแบตช์ เซอร์วิสรายงาน เซอร์วิส data movement เซอร์วิส metadata และเซอร์วิสการนำเสนอ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสเหล่านี้จะถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ที่ Content Manager เป็นคอมโพเนนต์เดียวที่ติดตั้งอยู่ โปรดสังเกตว่า dispatcher เองจะไม่ถูกปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Event management หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส event management หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส event management บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส event management จะจัดการกับการประมวลผลภารกิจที่มีกำหนดเวลา เมื่อการประมวลผลภารกิจที่มีกำหนดเวลาเริ่มต้น เซอร์วิส event management จะส่งสัญญาณให้เซอร์วิสมอนิเตอร์เริ่มประมวลผลภารกิจ โดยดีฟอลต์เซอร์วิส event management จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสกราฟิกหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสกราฟิกหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสกราฟบนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสกราฟิกจะสร้างแผนภูมิและกราฟิกแทนเซอร์วิสรายงาน โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสกราฟิกจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Human task หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส human task หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส human task บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสนี้จะเปิดใช้งานความสามารถในการสร้างและจัดการกับ human tasks human task เช่น การอนุมิติรายงาน สามารถกำหนดให้กับแต่ละบุคคลหรือกลุ่มแบบ ad-hoc หรือโดยเซอร์วิสอื่น โดยดีฟอลต์เซอร์วิส human task จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Interactive discovery visualization หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส interactive discovery visualization หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส interactive discovery visualization บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสวิชวลไลเซชันการค้นหาแบบโต้ตอบจัดเตรียมเนื้อหาให้กับผลิตภัณฑ์ IBM Cognos เพื่อสนับสนุนฟังก์ชันการค้นหาแบบโต้ตอบและวิชวลไลเซชัน โดยดีฟอลต์เซอร์วิส interactive discovery visualization จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสงานหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสงานหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสงานบนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสงานจะประมวลผลงานและส่งสัญญาณให้เซอร์วิสมอนิเตอร์ประมวลผลขั้นตอนงานอยู่เบื้องหลัง โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสงานจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Metadata หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส metadata หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส metadata บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส metadata จะจัดการกับคำร้องขอข้อมูลเมตารวมถึง lineage, queryMetadata, updateMetadata และ testDataSourceConnection โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส metadata ถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Metrics Manager หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส Matrics Manager หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส Metrics Manager บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส Metrics Manager จะจัดการกับคำร้องขอแอ็พพลิเคชัน เช่น คำร้องขอเว็บเพจ หรือ ข้อมูลคอนฟิกูเรชันของแอ็พพลิเคชัน โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส Metrics Manager จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Migration หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส migration หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส migration บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส migration ใช้เพื่อโอนย้ายเนื้อหา PowerPlay โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส migration จะถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ติดตั้ง Content Manager เปิดใช้งานเซอร์วิส Mobile หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส mobile หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส mobile บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส mobile จะอนุญาตให้ส่งเนื้อหาไปยังอุปกรณ์มือถือ และจัดการกับคำร้องขอจากอุปกรณ์มือถือ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส mobile จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Monitor หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส monitor หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส monitor บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส monitor จะส่งสัญญาณให้เซอร์วิสเป้าหมายเพื่อจัดการกับภารกิจ จากนั้นมอนิเตอร์การประมวลผลของภารกิจ และรวบรวมและบันทึกข้อมูลประวัติสำหรับการประมวลผลของภารกิจ เซอร์วิส monitor ยังสามารถควบคุมการสนทนาของเซอร์วิสอะซิงโครนัสแทนไคลเอ็นต์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส monitor จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Planning administration console หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส planning administration console หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส planning administration console บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส planning administration console จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Planning data หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส planning data หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส planning data บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส planning data จะจัดการเคียวรีรายงานกับแหล่งข้อมูล IBM Cognos Planning - Contributor โดยดีฟอลต์เซอร์วิส planning data จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Planning job หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส planning job Data Manager หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส planning job บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส planning job จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Planning Web หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส planning Web หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส planning Web บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส planning Web จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส PowerPlay หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส PowerPlay หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส PowerPlay บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส PowerPlay จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Presentation หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส presentation หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส presentation บนโลคัลคอมพิวเตอร์ การนำเสนอ presentation จะจัดการกับคำร้องขอสำหรับ IBM Cognos Connection, Query Studio และ Event Studio โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส presentation จะถูกปิดใช้งานบนคอมพิวเตอร์ที่ Content Manager เป็นคอมโพเนนต์เดียวที่ติดตั้งอยู่ เปิดใช้งานเซอร์วิสเคียวรีหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสเคียวรีหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสเคียวรีบนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสเคียวรีจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Report data หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส report data หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส report data บนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิส report data จะจัดการกับคำร้องขอไคลเอ็นต์ภายนอก เช่น IBM Cognos BI สำหรับ Microsoft Office โดยดีฟอลต์เซอร์วิส report data จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสรายงานบนโลคัลคอมพิวเตอร์ เซอร์วิสรายงานจะจัดการกับคำร้องขอที่มีการโต้ตอบสำหรับการประมวลผลรายงานและสร้างเอาต์พุตสำหรับผู้ใช้ใน IBM Cognos Connection หรือหนึ่งใน studios โดยดีฟอลต์ เซอร์วิสรายงานจะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Repository หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส repository หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส repository บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส repository จะถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิส Relational metadata หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานเซอร์วิส relational metadata หรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิส relational metadata บนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์ เซอร์วิส relational metadata ถูกเปิดใช้งาน เปิดใช้งานเซอร์วิสแกลเลอรีวิชวลไลเซชันหรือไม่? ระบุว่าเปิดใช้งานเซอร์วิสแกลเลอรีวิชวลไลเซชันหรือไม่ ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อเปิดใช้งานหรือปิดใช้งานเซอร์วิสแกลเลอรีวิชวลไลเซชันบนโลคัลคอมพิวเตอร์ โดยดีฟอลต์เซอร์วิสแกลเลอรีวิชวลไลเซชันจะถูกเปิดใช้งาน
พอร์ทัลเซอร์วิส กำหนดคุณสมบัติสำหรับพอร์ทัลเซอร์วิส Web Content URI ระบุ URI ของเนื้อหาเว็บของพอร์ทัลเซอร์วิส ไม่มีค่าที่ต้องการเมื่อใช้เนื้อหาเว็บ ที่แทนโดยพอร์ตเล็บพอร์ทัลเซอร์วิส ใน IBM Cognos Connection เมื่อใช้พอร์ตเล็ตกับพอร์ทัลของบริษัทอื่น สามารถเลือกใช้ค่านี้เพื่อระบุ Web content URI อื่นที่ผู้ใช้พอร์ทัลสามารถเข้าถึงรูปภาพของพอร์ทัลเซอร์วิสและเนื้อหาเว็บ เช่น http://MyPortalImageServer/ibmcognos/ ตำแหน่งของ 'applications.xml' ระบุ URI หรือพาธของโลคัลไฟล์ของไฟล์ applications.xml ถ้าสภาวะแวดล้อมของคุณมีอินสแตนซ์ของ IBM Cognos มากกว่าหนึ่งอินสแตนซ์ และคุณกำหนดค่าอินสแตนซ์อื่นเพื่อใช้ตำแหน่งของ applications.xml ตำแหน่งอื่น แต่ละตำแหน่งต้องมีไฟล์ applications.xml เวอร์ชันเดียวกัน Trusted Signon Namespace ID ระบุ ID เนมสเปซการพิสูจน์ตัวตน ป้อนค่าของเนมสเปซการพิสูจน์ตัวตนที่มีอยู่ Shared secret ระบุค่าของคีย์สำหรับ single signon โดยใช้วิธี shared secret คุณสมบัตินี้คำนึงถึงขนาดตัวพิมพ์
IBM Cognos Application Firewall กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติเพื่อกำหนดค่า IBM Cognos Application Firewall IBM Cognos Application Firewall เป็นคอมโพเนนต์ที่จำเป็นของการรักษาความปลอดภัยคอมโพเนนต์ที่ช่วยจัดเตรียมการป้องกันการเจาะช่องโหว่ การปิดใช้งาน IBM Cognos Application Firewall จะลบการป้องกันนี้ ดังนั้น ไม่ควรทำภายใต้สถานการณ์ปกติ เปิดใช้งานการตวจสอบความถูกต้อง CAF หรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานการตรวจสอบความถูกต้อง IBM Cognos Application Firewall หรือไม่ IBM Cognos Application Firewall เป็นคอมโพเนนต์ที่จำเป็นของการรักษาความปลอดภัยคอมโพเนนต์ที่ช่วยจัดเตรียมการป้องกันการเจาะช่องโหว่ การปิดใช้งาน IBM Cognos Application Firewall จะลบการป้องกันนี้ ดังนั้น ไม่ควรทำภายใต้สถานการณ์ปกติ นอกจากนี้ ถ้าเปิดใช้งานการตรวจสอบ XSS ของบริษัทอื่น ต้องเปิดใช้งานการตรวจสอบ CAF ด้วย โดเมนหรือโฮสต์ที่ถูกต้อง ระบุค่าโดเมนและ/หรือชื่อโฮสต์ที่ถูกต้องสำหรับคอนฟิกูเรชันของคุณ IBM Cognos Application Firewall จะตรวจสอบชื่อโฮสต์และชื่อโดเมนที่ใช้หรือถูกผ่านในคำร้องขอ คุณอาจเพิ่มชื่อโฮสต์หรือชื่อโดเมนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนคอนฟิกูเรชันและทอปอโลยีระบบของคุณ ตัวอย่างเช่น เพิ่ม .mycompany.com เพื่ออนุญาตให้ใช้โดเมนจาก mycompany.com คุณยังอาจอนุญาตให้ใช้โดเมนและโดเมนย่อยทั้งหมดโดยการเพิ่มไวด์การ์ดที่เริ่มต้นของโดเมน เช่น *.mycompany.com เปิดใช้งานการตรวจสอบ XSS ของบริษัทอื่นหรือไม่? ระบุว่าจะเปิดใช้งานการสนับสนุน CAF สำหรับการตรวจสอบการเขียนสคริปต์ข้ามไซต์ของบริษัทอื่นหรือไม่ เปิดใช้งาน CAF เพื่อสนับสนุนการตรวจสอบการเขียนสคริปต์ข้ามไซต์ของบริษัทอื่นโดยการเข้ารหัสคำร้องขอเพื่อป้องกันไม่ให้การตรวจสอบของบริษัทอื่นปฏิเสธอักขระที่ใช้ไม่ได้ เปิดใช้งานคุณสมบัตินี้ ถ้าคุณมีเครื่องมือที่ดำเนินการ XSS ของคำร้องขอ GET คุณสามารถเปิดใช้งานคุณสมบัตินี้เฉพาะเมื่อเปิดใช้งานการตรวจสอบความถูกต้อง CAF ด้วย โดยดีฟอลต์ อักขระ XSS ของบริษัทอื่น <, และ > จะถูกเข้ารหัส False True (ต้องการให้เปิดใช้งานการตรวจสอบความถูกต้อง CAF)
Data Manager กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ Data Manager ตำแหน่งไฟล์ข้อมูล ระบุไดเร็กทอรีที่ Data Manager นำส่งไฟล์ข้อมูลข้อความและไฟล์ข้อมูลเมตาถึง ตำแหน่งล็อกไฟล์ ระบุไดเร็กทอรีที่ Data Manager เขียนล็อกไฟล์เมื่อคุณประมวลผล builds จากแค็ตตาล็อก เซอร์วิสเครือข่าย Data Manager กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซอร์วิสเครือข่าย Data Manager ตำแหน่งล็อกไฟล์ ระบุไดเร็กทอรีที่เซอร์วิสเครือข่าย Data Manager เขียนล็อกไฟล์ ไคลเอ็นต์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ Data Manager ความเข้มงวดของการบันทึก ระบุระดับของการบันทึกบนไคลเอ็นต์ 1 = รายละเอียดน้อยที่สุด 5 = รายละเอียดมากที่สุด พอร์ตดีฟอลต์ ระบุพอร์ตดีฟอลต์สำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต โปรโตคอลดีฟอลต์สำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต โปรโตคอลดีฟอลต์ที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุโปรโตคอลสำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต SOAP Secure SOAP ซ็อกเก็ต กำหนดรหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิส รหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิสดีฟอลต์สำหรับเซิร์ฟเวอร์ Data Manager Network แบบรีโมต จะใช้รหัสผ่านนี้ ถ้าไม่พบรายการของการเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่ตรงกันสำหรับโฮสต์ / พอร์ต / โปรโตคอลที่กำหนด Data Manager net connection Data Manager net connection กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่ใช้เพื่อกำหนดการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ ต้องแน่ใจว่ามีเซิร์ฟเวอร์อยู่และชื่อรีซอร์สเป็นชื่อโฮสต์ของรีโมตเซิร์ฟเวอร์ พอร์ต ระบุพอร์ตของการเชื่อมต่อแบบรีโมต โปรโตคอลสำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต โปรโตคอลที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต ใช้คุณสมบัตินี้เพื่อระบุโปรโตคอลสำหรับการเชื่อมต่อแบบรีโมต SOAP Secure SOAP ซ็อกเก็ต รหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิส รหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิสสำหรับเซิร์ฟเวอร์เครือข่าย Data Manager เซิร์ฟเวอร์ กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์ Data Manager SOAP Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ Data Manager network services SOAP Server ความเข้มงวดของการบันทึก ระบุระดับของการบันทึกบนเซิร์ฟเวอร์ 1 = รายละเอียดน้อยที่สุด 5 = รายละเอียดมากที่สุด เปิดใช้งาน เปิดใช้งาน Data Manager SOAP Server ปิดใช้งาน ปิดใช้งาน Data Manager SOAP Server เซิร์ฟเวอร์ซ็อกเก็ต กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับ Data Manager network services Socket Server รหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิส รหัสผ่านการเข้าถึงเซอร์วิสสำหรับเซิร์ฟเวอร์เครือข่าย Data Manager หมายเลขพอร์ตของซ็อกเก็ต ระบุพอร์ตสำหรับเซิร์ฟเวอร์ซ็อกเก็ต ความเข้มงวดของการบันทึก ระบุระดับของการบันทึกบนเซิร์ฟเวอร์ 1 = รายละเอียดน้อยที่สุด 5 = รายละเอียดมากที่สุด รีจิสเตอร์ การลงทะเบียนเซอร์วิส Data Manager Socket Server เริ่มต้น การเริ่มต้น Data Manager Socket Server หยุด การหยุด Data Manager Socket Server รีสตาร์ท
การวางแผน กำหนดคุณสมบัติสำหรับ Planning ขนาดเวิร์กสเปซสูงสุดของ Analyst ในหน่วย KB ระบุจำนวนหน่วยความจำที่ APL interpreter สามารถใช้ ป้อนค่าที่อยู่ระหว่าง 64000 และ 2000000 หน่วยความจำจะถูกจัดสรรตามที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเกินขีดจำกัดนี้ เมื่อจัดสรรแล้ว หน้วยความจำจะไม่พร้อมใช้งานสำหรับแอ็พพลิเคชันอื่นขณะที่ Analyst รันอยู่ ตำแหน่งการติดตั้ง IBM Cognos BI ระบุตำแหน่งไปยังการติดตั้ง IBM Cognos Business Intelligence พาธนี้จะถูกระบุเมื่อติดตั้ง IBM Cognos BI คุณสมบัตินี้ใช้โดยคอมโพเนนต์ Planning ที่ต้องการการติดตั้ง IBM Cognos BI Planning Server กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติสำหรับเซิร์ฟเวอร์การวางแผน หมายเลขพอร์ตการรับฟัง ระบุพอร์ตที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อรับฟังคำสั่ง หมายเลขพอร์ตปิดการทำงาน ระบุพอร์ตที่ผลิตภัณฑ์ใช้เพื่อรับฟังคำสั่งปิดการทำงาน Oracle ODBC Driver ระบุไดรเวอร์ ODBC ที่ใช้เพื่อเชื่อมต่อกับที่เก็บข้อมูลการเผยแพร่ Contributor ในบางการติดตั้ง ชื่อไดรเวอร์ ODBC สำหรับ Oracle จะไม่ใช่ค่าดีฟอลต์ หรือสามารถติดตั้งไดรเวอร์ได้มากกว่าหนึ่งไดรเวอร์ ใช้โดยส่วนขยายของไคลเอ็นต์และส่วนขยาย PPES admin เริ่มต้น เริ่มต้น Planning Server หยุด หยุด Planning Server รีสตาร์ท
IBM Cognos Planning กำหนดกลุ่มของคุณสมบัติที่จัดเตรียมการเข้าถึงเนื้อหา IBM Cognos Planning ใช้กลุ่มของคุณสมบัตินี้เพื่อกำหนดค่าการเข้าถึง Planning Contributor Data Server และที่เก็บเนื้อหา Planning ต้องการคอมโพเนนต์รีซอร์สฐานข้อมูลที่ชี้ไปยัง Planning Store เมื่อติดตั้งเซิร์ฟเวอร์การวางแผน ถ้าคอมโพเนนต์ของเซิร์ฟเวอร์การวางแผนถูกติดตั้งบนเครื่องเดียวกับ Content Manager รีซอร์สฐานข้อมูลสามารถชี้ไปยังฐานข้อมูลเดียวกันกับที่ใช้สำหรับ Content Manager Contributor Data Server กำหนดคุณสมบัติสำหรับ Planning Contributor Data Server รหัสผ่านลายเซ็นต์ ระบุรหัสผ่านที่เปิดใช้งานการสื่อสารที่มีการรักษาความปลอดภัยระหว่างเซิร์ฟเวอร์ IBM Cognos และ Contributor Data Server สำหรับรายงานและเอเจนต์ที่มีกำหนดเวลา รหัสผ่านจะคำนึงถึงขนาดตัวพิมพ์และต้องตรงกับคุณสมบัติ Signature password ที่คุณกำหนดคอนฟิกใน IBM Cognos Series 7, Configuration Manager, IBM Cognos Planning / IBM Cognos - Contributor Data Server / General properties